IMAC Dojo : International Martial Arts Center
เรียนวูซูสำนักเจินอู่ Wushu Class
โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ IMAC Dojo ลาดพร้าว 101 สอนหลักสูตร มวยจีน หรือ วูซู (Wushu) ในนามสำนักเจินอู่ (真武) ตามหลักสูตรมาตรฐานจากจีน ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สัมผัสศาสตร์การต่อสู้จีนอย่างแท้จริง วูซู หรือ อู่ซู่ เป็นวิทยายุทธที่รวมศิลปะการร่ายกระบวนท่าเข้ากับการใช้พลังภายในและภายนอก ผสานการเคลื่อนไหวที่งดงามและทรงพลัง ทั้งยังเป็นการฝึกฝนที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจ พร้อมทั้งเสริมสร้างจริยธรรมและหลักปรัชญาในเชิงลึก นอกจากนี้ คำว่า “กังฟู” ที่ใช้กันทั่วไปนั้น แม้จะหมายถึง “ฝีมือ” ตามภาษาพื้นเมือง แต่ในปัจจุบันการเรียนมวยจีนหรือ เรียนวูซู ก็ยังคงสะท้อนการฝึกฝนวิทยายุทธอย่างครบถ้วน ซึ่งช่วยพัฒนาทั้งด้านร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
การเรียนวิชา มวยจีน หรือ เรียนกังฟู มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความแข็งแรงและสมดุลให้ร่างกาย การฝึกป้องกันตัว ใช้ในการแสดง ตลอดจนการเสริมสร้างจิตใจที่มีจริยธรรม ผู้ฝึกจะได้พัฒนาทักษะและคุณสมบัติที่สำคัญของนักสู้จีน ไม่เพียงแค่การฝึกฝนแบบกายบริหารแต่ยังรวมถึงการรับรู้หลักการและเหตุผลในทุกท่วงท่า โดยที่ IMAC Dojo คุณจะได้เรียนรู้ภายใต้การแนะนำจากครูผู้มีประสบการณ์ พร้อมเทคนิคการฝึกฝนแบบดั้งเดิมที่เข้าถึงรากเหง้าของวัฒนธรรมจีน

ค่าเรียนมวยจีน (武术 : วูซู)
Wushu Group Class Fee
ค่าเรียนแบบคลาสกลุ่ม
วันเวลาเรียน :
วันเสาร์ 18.00 - 19.15 น.
ค่าเรียน :
1,500 บาทต่อเดือน (4 ครั้ง) กรณีหยุดไม่มีนโยบายชดเชยการสอน
ค่าเสื้อสำนัก :
300 บาทต่อตัว นักเรียนต้องใส่ชุดสำนักในขณะที่เรียนคลาสกลุ่ม
การเตรียมตัวก่อนเรียน :
กางเกงที่ใส่เรียน ให้นักเรียนเลือกซื้อเองรุ่นที่ยืดขาได้ 180 องศา
Wushu Private Class Fee
ค่าเรียนแบบคลาสตัวต่อตัว
ค่าเรียน :
1000 บาทต่อคนต่อครั้ง (60 นาที) นักเรียนที่เรียนเพิ่ม 200 บาทต่อคน
เงื่อนไขการเรียน :
นักเรียนชำระค่าเรียนในระบบจอง ไม่สามารถยกเลิกหรือปรับเลื่อนเวลานัดได้
ค่าเสื้อสำนัก :
300 บาทต่อตัว นักเรียนต้องใส่ชุดสำนักในขณะที่เรียนคลาสกลุ่ม
การเตรียมตัวก่อนเรียน :
กางเกงที่ใส่เรียน ให้นักเรียนเลือกซื้อเองรุ่นที่ยืดขาได้ 180 องศา
หลักสูตรวิชามวยจีนวูซู Wushu Course
พื้นฐานการอบอุ่นร่างกาย
- ดัดขาพาดราวแนวตรง-แนวเฉียง และยืดตัว
- ดัดขาแบบ “เหิงชะ” และแบบ “พีชะ”
- ดัดหัวไหล่ หมุนแขนพร้อมกัน หมุนแขนสลับกัน
- ดัดขาในท่าพูปู้ ทำสะพานโค้ง และ เหวี่ยงเอว
ท่าพื้นฐาน 45 ท่า “จีเปิ่นกง”
จีเปิ่นกง เป็นชุดท่าฝึกพื้นฐานที่มีความสำคัญในศิลปะการต่อสู้ของจีน โดยเฉพาะในการฝึกวูซูและมวยจีน เป็นวิชาหลักในการฝึกวูซู เพราะการฝึกท่าวูซูจะทำไม่ได้และไม่มีทางทำได้ดี ถ้าไม่ได้ฝึกพื้นฐานให้ดีและมั่นคง ความยากของการฝึกวูซูหรือมวยจีนคือการให้ความสำคัญในการฝึก “จีเปิ่นกง” ให้ได้ประสิทธิภาพพอที่จะฝึกท่ามวยวูซู การฝึกพื้นฐานซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้ฝึกมีความแข็งแกร่ง ควบคุมร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวและความสมดุลผ่านการฝึกที่เข้มข้น
ในท่าเตะต่าง ๆ เช่น เตะดีดปลายเท้า-ชกตรง เตะขาตึงวาดเท้าเข้า-ออก หรือเตะขาตึงตรงหน้า เป็นการฝึกเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ การควบคุมการยกและเหยียดขาที่แม่นยำ นอกจากนี้ยังฝึกการประสานงานระหว่างแขนและขาไปพร้อมกัน ซึ่งสำคัญต่อการสร้างพื้นฐานที่ดีในทักษะการต่อสู้
ท่ากระโดด เช่น กระโดดเตะตรงหน้า กระโดดตีลังกาข้าง และกระโดดหมุนตัว เป็นท่าที่เน้นพลังในการกระโดด การประสานร่างกายที่คล่องแคล่ว รวมถึงการฝึกการทรงตัวในอากาศ การกระโดดทำให้ร่างกายต้องใช้กำลังจากทุกส่วนและยังเพิ่มทักษะในการหลบหลีกและเข้าถึงเป้าหมายในระยะที่สูงขึ้น
การฝึกท่าที่ใช้การหมุนตัว เช่น ก้มกวาดเท้าหมุนตัว หรือมังกรหมุนทะยานตัว มีประโยชน์ต่อการฝึกให้ผู้ฝึกมีความคล่องตัวในการหลบหลีกและสร้างความมั่นคงในการยืนบนพื้นในขณะหมุน การควบคุมทิศทางและการเคลื่อนไหวที่แม่นยำยังช่วยพัฒนาทักษะในการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
ท่ามัจฉาดีดตัวและม้วนหน้าเป็นการฝึกที่ช่วยให้ผู้ฝึกสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและมีความยืดหยุ่น รวมถึงการฝึกความสมดุลในร่างกาย และสามารถปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวได้อย่างหลากหลาย
ดังนั้น หลักสูตร “จีเปิ่นกง” จึงเป็นมากกว่าการฝึกท่าทางต่าง ๆ แต่มุ่งเน้นไปที่การสร้างพื้นฐานในการเคลื่อนไหว ความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น และความคล่องตัว ทำให้ผู้ฝึกสามารถพัฒนาความสามารถในศิลปะการต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างรากฐานที่มั่นคงในการฝึกฝนระดับที่สูงขึ้น
ท่ายืนพื้นฐานมวยจีน
Ma Bu (马步) – ท่ายืนม้า
เป็นท่ายืนพื้นฐานที่ใช้ฝึกขาและความสมดุล โดยยืนกางขากว้างเท่าช่วงไหล่ งอเข่าให้ต้นขาขนานกับพื้น ท่านี้ช่วยสร้างกล้ามเนื้อขาและความแข็งแกร่งของช่วงล่าง
Gong Bu (弓步) – ท่ายืนโค้ง
ท่านี้เหมือนกับท่าลันจ์ในฟิตเนส ขาหน้าโค้งงอและขาหลังยืดตรง เอนไปข้างหน้า น้ำหนักอยู่ที่ขาหน้า ช่วยฝึกความมั่นคงและการเคลื่อนไหวรุกและรับ
Xie Bu (歇步) – ท่ายืนไขว้หรือกากบาท
นั่งลงโดยให้ขาหน้าชิดพื้นและไขว้ขาหลังไปข้างหลัง เป็นท่าที่ช่วยฝึกความคล่องตัวและความสมดุลในท่าที่ต้องย่อตัวลงต่ำ
Pu Bu (仆步) – ท่ายืนต่ำ
ท่านี้เป็นท่าย่อตัวต่ำ ขาข้างหนึ่งยืดไปด้านข้างและขาอีกข้างงอเข่าเพื่อให้ร่างกายอยู่ต่ำ เป็นท่าที่ช่วยฝึกความยืดหยุ่นของขาและความแข็งแกร่ง
Xu Bu (虚步) – ท่ายืนว่าง
เป็นการยืนที่มีน้ำหนักอยู่ที่ขาหลังโดยขาหน้าแตะพื้นเบา ๆ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหวรุกและถอย เป็นท่าที่เน้นการฝึกสมดุลและการควบคุม
Ding Bu (丁步) – ท่ายืนตัวอักษร T
ท่านี้ให้ขาหน้าตรงและขาหลังงอคล้ายตัวอักษร T ใช้ในการฝึกการเคลื่อนไหวแนวนอนและการเปลี่ยนทิศทาง
ยุทธลีลามือเปล่า (หมัด-มวย)
หมัดเส้าหลิน (Shaolin Quan / 少林拳)
หมัดเส้าหลินเป็นการฝึกที่มีท่าทางหลากหลาย ประกอบไปด้วยการหมุน กระโดด การใช้มือและเท้าที่ประสานกัน เป็นการฝึกที่เน้นความรวดเร็ว ความแข็งแรง และการเคลื่อนไหวที่แม่นยำ
หนานฉวน (Nanquan / 南拳) - มวยใต้
สไตล์นี้เน้นท่าทางที่มั่นคง หนักแน่น และใช้พลังเยอะ เหมาะสำหรับการฝึกการออกแรงและความหนักแน่นของหมัด เหมาะสำหรับฝึกความแข็งแกร่งของขาและการยืนที่มั่นคง
ฉางฉวน (Changquan / 长拳) - มวยยาว
เป็นสไตล์ที่เน้นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น ประกอบด้วยการเตะ หมุน และกระโดดในจังหวะที่ต่อเนื่อง ช่วยฝึกความคล่องตัวและความแข็งแกร่งของร่างกาย
มวยไท่เก๊ก (Taijiquan / 太极拳)
สไตล์นี้มีการเคลื่อนไหวที่ช้าและนุ่มนวล เน้นการควบคุมการหายใจและสมาธิ เพื่อฝึกความสมดุล การไหลลื่น และพัฒนาพลังภายใน ช่วยให้ผู้ฝึกมีสมาธิและเพิ่มความแข็งแกร่งในทางจิตใจ
มวยสัตว์ (Animal-Style Kungfu/ 动物拳法)
หลักสูตรมวยสัตว์ในวิชาวูซูประกอบด้วยท่าทางเลียนแบบสัตว์ที่โดดเด่น ทั้ง มวยงู ซึ่งเน้นการเคลื่อนไหวลื่นไหลและรวดเร็วเหมือนงูพุ่งเข้าโจมตี, มวยเสือ ที่เน้นความหนักแน่นและพลังจากการตะปบและขยุ้มแบบเสือ, มวยตั๊กแตน ซึ่งพัฒนาความรวดเร็วและความแม่นยำจากการจับและโจมตีอย่างว่องไวคล้ายตั๊กแตน, และ มวยลิง ที่เน้นการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน คล่องแคล่ว และการเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็วแบบลิง การฝึกมวยสัตว์ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ความคล่องตัว และการตอบสนอง ทำให้ผู้ฝึกมีทักษะการต่อสู้ที่ครบครันและมีเอกลักษณ์
มวยสไตล์พิเศษ (Specialized Styles Kungfu/ 特殊拳法课程)
หลักสูตรมวยสไตล์พิเศษประกอบด้วย หมัดเมา (醉拳 / Zuì Quán) ที่เน้นการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลและการทรงตัวที่ยืดหยุ่น และ มวยป้าจี้ฉวน (八极拳 / Bājí Quán) ที่เน้นการโจมตีหนักหน่วงและพละกำลังสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด
ยุทธลีลาอาวุธ (อาวุธสั้น-อาวุธยาว-อาวุธอ่อน)
อาวุธสั้น (短兵 / Duǎn Bīng)
- ดาบ (刀 / Dāo): ฝึกท่าการฟันและการป้องกันดาบอย่างรวดเร็วและมั่นคง เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและความเร็ว
- มีดสั้น (匕首 / Bǐshǒu): ใช้ในการจู่โจมอย่างเฉียบพลัน เน้นการใช้พลังและการควบคุมที่แม่นยำ
- กระบี่ (剑 / Jiàn): ฝึกการใช้กระบี่ที่เน้นความยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหวอย่างพลิ้วไหวและรวดเร็ว
อาวุธยาว (长兵 / Cháng Bīng)
- ไม้พลอง (棍 / Gùn): ฝึกการฟาด ปัด และหมุนพลอง เน้นการควบคุมและความมั่นคงในการใช้พลอง
- ทวน (枪 / Qiāng): ฝึกการแทงทวนและหมุนทวนเพื่อเพิ่มพละกำลังและความคล่องแคล่ว
- ดาบใหญ่ (大刀 / Dà Dāo): ฝึกการใช้ดาบใหญ่ที่เน้นพลังและความแข็งแกร่ง ช่วยฝึกกล้ามเนื้อและการควบคุมร่างกาย
อาวุธอ่อน (软兵 / Ruǎn Bīng)
- แส้หนัง (皮鞭 / Pí Biān): ใช้ฝึกความคล่องตัวและการตีแส้อย่างรวดเร็ว
- แส้เก้าท่อน (九节鞭 / Jiǔ Jié Biān): ฝึกการตีและการควบคุมแส้ที่มีหลายท่อน เน้นความคล่องตัวและความรวดเร็ว
- กระบอง 2 ท่อน (双节棍 / Shuāng Jié Gùn) และ กระบอง 3 ท่อน (三节棍 / Sān Jié Gùn): ใช้ฝึกการหมุนและการควบคุมกระบองแบบอ่อน ซึ่งช่วยพัฒนาความยืดหยุ่นและความคล่องแคล่ว
- ลูกตุ้มดาวตก (流星锤 / Liú Xīng Chuí): ฝึกการควบคุมการเหวี่ยงและการตีจากการหมุนลูกตุ้มที่เน้นความแม่นยำ
การสอบเลื่อนระดับวิชาวูซูสำนักเจินอู่
วิธีการเรียนและการสอบวัดระดับภายในของมวยจีนสำนักเจินอู่
LEVEL 1
>> อู่ปู้ฉวน 五步拳 (Wu Bu Quan)
มวยอู่ปู้ฉวน หรือ “ท่าหมัดห้าท่า” เป็นพื้นฐานสำคัญของกังฟูเส้าหลินที่ประกอบด้วยท่ายืนหลัก 5 ท่า ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ความสมดุล และความยืดหยุ่น ท่าแรก Ma Bu หรือท่ายืนม้า เน้นการสร้างความแข็งแรงของขาและความมั่นคงของร่างกาย ท่าที่สอง Gong Bu หรือท่ายืนโค้ง ช่วยฝึกการถ่ายน้ำหนักและสมดุลขณะเคลื่อนไหว ต่อมา Pu Bu หรือท่ายืนเสือ ซึ่งเป็นท่าที่นั่งย่อต่ำไปใกล้พื้น ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและคล่องตัวในท่าหลบหลีกระดับต่ำ ส่วน Xi Bu หรือท่ายืนธนู เน้นการตั้งท่าให้มั่นคงคล้ายกับการยิงธนู เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีสุดท้าย Ding Bu หรือท่ายืนตรง เป็นท่าที่เรียบง่ายและมั่นคง เพื่อเตรียมพร้อมก่อนการเคลื่อนไหวถัดไป
>> กระบองสองท่อนมือเดียว LEVEL 1 และ LEVEL 2
LEVEL 2
>> เหลียนหวนฉวน (LIAN HUAN QUAN 连环拳)
มวยเหลียนหวนฉวน หรือ “Chain Fist” เป็นท่าพื้นฐานท่าที่สองในมวยจีนโบราณเส้าหลิน ซึ่งเน้นการร้อยเรียงท่วงท่าต่อสู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งการต่อย เตะ หักข้อ และการคว้าจับ โดยอาศัยการยืนพื้นฐานของเส้าหลิน เช่น Ma Bu, Gong Bu, Pu Bu, Xu Bu, Xie Bu และ Ding Bu ท่านี้ช่วยให้ผู้ฝึกเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างลื่นไหล รวดเร็ว และมั่นคง ฝึกให้พร้อมทั้งการป้องกันและการโจมตี โดยมุ่งเน้นให้ผู้ฝึกเชื่อมโยงท่วงท่าต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความคล่องตัว ความแข็งแรง และความแม่นยำในการต่อสู้
>> กระบองสองท่อนมือเดียว LEVEL 3 และ LEVEL 4
LEVEL 3
>> ป่าปู้เหลียนหวนฉวน (BABU LIAN HUAN QUAN 八步连环拳)
มวยป่าปู้เหลียนหวนฉวน หรือ “8 Steps Linked Fist” เป็นท่ามวยจีนเส้าหลินที่เน้นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องใน 8 จังหวะหลัก โดยรวมทั้งการโจมตีและป้องกันไว้ในกระบวนท่าที่ร้อยเรียงกันอย่างลงตัว ท่านี้ออกแบบมาเพื่อฝึกการปรับเปลี่ยนท่วงท่าอย่างรวดเร็ว การถ่ายน้ำหนักที่มั่นคง และการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยความยืดหยุ่น การฝึกป่าปู้เหลียนหวนฉวนจะช่วยเพิ่มความคล่องตัว ความแม่นยำในการโจมตีและป้องกัน พร้อมเสริมสร้างสมดุลของร่างกายและการใช้พลังในท่วงท่าต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
>> กระบองสองท่อนมือเดียว LEVEL 5 และ LEVEL 6
LEVEL 4
>> หลักสูตรการใช้กระบองเส้าหลิน Yin Shou Gun
กระบองหยินโส่วกุ้น หรือ “กระบองมือซ่อน” เป็นหนึ่งในกระบวนท่าการใช้อาวุธของเส้าหลินที่เน้นความเร็ว ความยืดหยุ่น และความแม่นยำ ท่านี้มีการเคลื่อนไหวที่เน้นการป้องกันตัวและโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการฝึก Yin Shou Gun มุ่งเน้นให้ผู้ฝึกสามารถควบคุมกระบองอย่างเชี่ยวชาญ โดยใช้การหมุน การฟาด การปัดป้อง และการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกท่าจะถูกเชื่อมโยงอย่างรวดเร็วและลื่นไหล การฝึกกระบอง Yin Shou Gun จะช่วยพัฒนาการควบคุมทิศทางและแรงในการโจมตี เสริมความคล่องแคล่ว การตอบสนองที่รวดเร็ว รวมถึงการประสานมือและตาให้มีความแม่นยำมากขึ้น
>> กระบองสองท่อนสองมือ LEVEL 1
LEVEL 5
>> ทงเป้ยฉวน (Tong Bei Quan 通背拳)
มวยทงเป้ยฉวน หรือที่เรียกว่า “White Ape Tong Back” เป็นท่าพื้นฐานท่าที่สี่ในหลักสูตรมวยจีนเส้าหลิน โดยเน้นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและมีพลังเพื่อการป้องกันตัวและโจมตี ทงเป้ยฉวนมีเอกลักษณ์ในด้านการใช้การหมุนและการสะบัดแขนข้ามหลังเพื่อสร้างแรงหมุนและเพิ่มพลังให้กับการโจมตี การฝึกทงเป้ยฉวนช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น ความคล่องแคล่ว และความแม่นยำในการเคลื่อนไหว พร้อมกับท่วงท่าที่สง่างามและทรงพลัง การฝึกฝนท่านี้ยังช่วยเสริมทักษะการถ่ายน้ำหนักและความสมดุล ทำให้ผู้ฝึกสามารถรับมือกับสถานการณ์การต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
>> กระบองสองท่อนสองมือ LEVEL 2
LEVEL 6
>> หลักสูตรวิชามวยห้าสัตว์ 5 Animal Fists (五形功夫 หรือ 五形拳)
มวย 5 สัตว์ เป็นการฝึกวิชามวยที่เลียนแบบท่วงท่าการต่อสู้ของสัตว์ 5 ชนิด ได้แก่ กระเรียนขาว เสือ งู ตั๊กแตน และอินทรีย์ ซึ่งแต่ละท่ามีเอกลักษณ์และประโยชน์เฉพาะตัว ชุดหมัด 5 สัตว์นี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ผู้ฝึกมวยเส้าหลินต้องมี เพื่อพัฒนาความอ่อนยืดหยุ่น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และความคล่องตัวของร่างกาย ท่า มวยกระเรียนขาว (White Crane Fist) เป็นที่นิยมมากที่สุด เน้นความสง่างามและการป้องกันตัวที่รวดเร็ว ซึ่งยังมีการนำไปดัดแปลงใช้ในมวยอื่น ๆ อย่างหย่งชุนและคาราเต้ มวยเสือ (Tiger Fist) เป็นท่าที่เน้นพลังและความดุดัน ต้องการความแม่นยำและฝึกกล้ามเนื้อมือเพื่อสร้างกรงเล็บที่แข็งแกร่ง มวยงู (Snake Fist) มีความยืดหยุ่นและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการโจมตีที่เฉียบคมในจุดสำคัญของคู่ต่อสู้ มวยตั๊กแตน (Praying Mantis Fist) เน้นการใช้ปลายนิ้วและการเคลื่อนไหวแบบฟุตเวิร์กคล้ายกับท่าหมัดลิง เพื่อการโจมตีที่รวดเร็วและแม่นยำ และ กรงเล็บอินทรีย์ (Eagle Claw) ซึ่งโดดเด่นด้วยพลังและการจู่โจมที่แข็งแกร่งในการทำลายคู่ต่อสู้ การฝึก 5 Animal Fists ช่วยพัฒนาความสมดุล ความคล่องแคล่ว และการควบคุมร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพในทุกกระบวนท่า
>> กระบองสองท่อนสองมือ LEVEL 3
LEVEL 7
>> หลักสูตร Siu Nim Tao (เสี้ยวหนิ่มเทา)
ท่าเสี่ยวหนิ่มเทา เป็นขั้นพื้นฐานแรกของมวยหย่งชุน (Wing Chun) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ผู้ฝึกใหม่ทุกคนต้องเรียนรู้ โดยท่านี้เน้นการพัฒนาการควบคุมร่างกาย ความผ่อนคลาย และความแม่นยำในท่วงท่า Siu Nim Tao เน้นการเคลื่อนไหวของแขนและมือในท่วงท่าต่าง ๆ เช่น การปัดป้อง การแทง และการบังคับทิศทาง ท่านี้ยังสอนให้ผู้ฝึกใช้พลังจากการผ่อนคลายและควบคุมลมหายใจ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ท่าของ Siu Nim Tao เน้นความมั่นคงในการยืนและการถ่ายน้ำหนักอย่างถูกต้อง ช่วยให้ผู้ฝึกมีความมั่นใจในการป้องกันตัวและพัฒนาพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้ท่าขั้นสูงต่อไป
>> กระบองสองท่อนสองมือ LEVEL 4
LEVEL 8
>> หลักสูตร Wushu Basic Broad Sword Form (初级刀术)
วิชาดาบวูซู หรือ “ท่ากระบี่กว้างพื้นฐาน” เป็นการฝึกการใช้กระบี่ที่เป็นหนึ่งในพื้นฐานสำคัญของวูซู โดยเน้นการพัฒนาความคล่องแคล่ว ความแม่นยำ และความแข็งแกร่งในการเคลื่อนไหว กระบวนท่ากระบี่กว้างประกอบด้วยการฟาดเฉือน หมุนตัว ปัดป้อง และการโจมตีในรูปแบบที่ต่อเนื่องและเป็นจังหวะ การฝึกท่านี้ช่วยเสริมความยืดหยุ่นของร่างกาย การประสานมือกับสายตา และการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ท่าพื้นฐานเหล่านี้ยังเน้นการถ่ายน้ำหนัก การทรงตัว และการควบคุมอาวุธให้มั่นคง เพื่อให้ผู้ฝึกมีความพร้อมในการใช้กระบี่อย่างมีประสิทธิภาพและสง่างาม
>> กระบองสองท่อนสองมือ LEVEL 5
LEVEL 9
>> หลักสูตรมวยไทเก๊กตระกูลหยาง 24 ท่า
วิชามวยไทเก๊กตระกูลหยาง เป็นแบบฝึกหัดพื้นฐานที่ออกแบบมาสำหรับผู้เริ่มต้น เน้นการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยน สง่างาม และต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความสมดุล ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง และการผ่อนคลายจิตใจ หลักสูตรนี้ประกอบด้วย 24 ท่า เช่น ท่าเตรียมพร้อม ท่าปัดเมฆ ท่าแปรงเข่าพร้อมผลัก และท่ายกเข่าขึ้น ซึ่งแต่ละท่าช่วยฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายที่สอดคล้องกับการควบคุมลมหายใจ เสริมสร้างสมาธิและความสงบ การฝึกท่าไทเก๊กตระกูลหยาง 24 ท่าช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งทางกาย และสร้างความสมดุลในการเคลื่อนไหว เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกไทเก๊กในตระกูลหยางอย่างลึกซึ้ง
>> กระบองสองท่อนสองมือ LEVEL 6
STANDARD WUSHU CURRICULUM
หลักสูตรมาตรฐานของวูซูกำหนดให้นักเรียนสามารถเข้าถึงการฝึกในระดับสูงขึ้นได้ในกรณีที่ผ่านการเรียนใน 9 ระดับมาตรฐาน (LEVEL 9) ซึ่งเป็นเกณฑ์การฝึกที่ออกแบบมาเพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งการเคลื่อนไหว ทักษะการป้องกันตัว และการควบคุมร่างกายที่ดี และให้เข้าใจถึงวิชาวูซูในหลากหลายสไตล์เพื่อสามารถต่อยอดการฝึกได้ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่นักเรียนมีพื้นฐานเพียงพอจากการฝึกศิลปะการต่อสู้อื่น ๆ หรือมีทักษะในระดับที่สามารถฝึกท่ามาตรฐานของวูซูได้ ก็สามารถได้รับอนุญาตจากครูผู้สอนให้ข้ามระดับการฝึกบางส่วนได้ตามความเหมาะสม เพื่อความยืดหยุ่นในการเรียนการสอน นอกจากนี้ ในกรณีที่โรงเรียนวูซูต้องการจัดหลักสูตรฝึกซ้อมเฉพาะเพื่อเตรียมตัวนักเรียนให้พร้อมสำหรับการแข่งขันวูซู ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ครูผู้สอนก็อาจอนุญาติในการสอนท่ามาตรฐานวูซูให้กับนักเรียนที่คัดเลือกในการฝึกท่ามาตรฐานที่ใช้ในการแข่งขัน การเพิ่มทักษะความเร็ว ความแม่นยำ และความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันและแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่
วิชามวยใต้หนานเฉวียน 南拳
หลักสูตรมวยใต้หนานเฉวียน (Nan Quan – 南拳) เป็นวิชามวยจีนที่มีต้นกำเนิดจากภาคใต้ของจีน เน้นการใช้พลังจากช่วงล่างของร่างกาย ความมั่นคงในการยืน และการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังและหนักแน่น หนานเฉวียนมีลักษณะการโจมตีที่ตรงไปตรงมา เน้นการใช้หมัดและฝ่ามือที่รุนแรง โดยท่าต่าง ๆ มักจะมีการงอเข่าเพื่อให้ร่างกายมั่นคง ผสานกับการเปล่งเสียงที่เข้มแข็งเพื่อเพิ่มพลังและสร้างสมาธิในการต่อสู้ การฝึกหนานเฉวียนช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ ความแข็งแรง และการทรงตัวที่ดี รวมถึงการใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกันเพื่อเสริมสร้างความคล่องตัว หลักสูตรนี้ยังเน้นการฝึกการป้องกันตัวและการตอบสนองที่รวดเร็ว รวมถึงท่าพื้นฐาน เช่น การฟาด การปัด และการแทง ซึ่งเสริมให้ผู้ฝึกสามารถควบคุมพลังและจังหวะการต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิชาดาบใต้หนานเตา 南刀
หลักสูตรวิชาดาบใต้หนานเตา (Nan Dao – 南刀) เน้นการฝึกใช้ดาบด้วยความแข็งแกร่งและคล่องตัว ดาบใต้นี้มีลักษณะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและหนักแน่น โดยเน้นการใช้พลังจากร่างกายส่วนล่างเพื่อเสริมแรงให้การฟาด แทง และปัดป้องมีประสิทธิภาพสูงสุด ท่าฝึกหนานเตาประกอบด้วยการฟาดแนวเฉียง การหมุนดาบ และการหมุนตัวเพื่อเพิ่มพลังในการโจมตี การฝึกนี้ช่วยเสริมความสมดุล ความคล่องตัว และความแข็งแรงของผู้ฝึก นอกจากทักษะการต่อสู้แล้ว ยังเน้นการควบคุมจังหวะและการรักษาสมดุล เพื่อให้การเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติและแม่นยำ
วิชาพลองใต้ หนานกุ้น 南棍
หลักสูตรวิชาพลองใต้หนานกุ้น (Nan Gun – 南棍) เป็นการฝึกศิลปะการใช้พลองที่เน้นพละกำลังและความคล่องตัว วิชานี้มีลักษณะการเคลื่อนไหวที่หนักแน่นและมั่นคง ซึ่งเหมาะสำหรับการป้องกันและโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพ ท่าพื้นฐานของหนานกุ้นประกอบด้วยการเหวี่ยง ฟาด แทง และการหมุนพลอง เพื่อเพิ่มแรงในการโจมตีและการควบคุมจังหวะให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย การฝึกหนานกุ้นยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ความแข็งแกร่ง และความคล่องตัว รวมถึงการประสานงานระหว่างมือและเท้า ผู้ฝึกจะได้ฝึกการทรงตัวและการถ่ายน้ำหนักอย่างถูกต้อง เพื่อให้การใช้พลองเป็นไปอย่างแม่นยำและทรงพลัง
วิชามวยเหนือฉางเฉวียน 长拳 Chang Quan
หลักสูตรวิชามวยเหนือฉางเฉวียน (Chang Quan – 长拳) หรือ “หมัดยาว” เป็นศิลปะการต่อสู้ที่เน้นการเคลื่อนไหวที่กว้างและยืดเยื้อ ซึ่งเหมาะสำหรับการฝึกทักษะการโจมตีที่มีความต่อเนื่องและความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ วิชานี้ประกอบด้วยท่วงท่าที่ยืดแขนและขาให้ยาวที่สุด โดยเน้นการถ่ายน้ำหนักและการเคลื่อนตัวอย่างลื่นไหล ท่าฝึกพื้นฐานของฉางเฉวียนรวมถึงการเตะ กระโดด ต่อย ฟาด และปัดป้อง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น และการทรงตัวที่ดี การฝึกฉางเฉวียนยังเน้นการฝึกการควบคุมลมหายใจ การสร้างสมาธิ และการประสานงานระหว่างส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อให้การเคลื่อนไหวมีพลังและประสิทธิภาพสูงสุด
วิชาดาบเหนือ 刀術 Dao Shu
หลักสูตรวิชาดาบเหนือ (Dao Shu – 刀術) เป็นศิลปะการใช้ดาบในสไตล์มวยเหนือที่เน้นความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความคล่องตัว ดาบเหนือหรือดาบสั้นนี้มีลักษณะการฟาดที่ทรงพลังและการเคลื่อนไหวที่ยืดหยุ่น การฝึกพื้นฐานของ Dao Shu รวมถึงการฟาดเฉียง การแทง การหมุนดาบ และการปัดป้อง ซึ่งใช้ทั้งความเร็วและความแม่นยำเพื่อการโจมตีที่ต่อเนื่องและป้องกันตัวอย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรนี้เน้นการควบคุมจังหวะ การถ่ายน้ำหนัก และการประสานงานระหว่างมือและเท้า ทำให้ผู้ฝึกสามารถควบคุมดาบได้อย่างมีสมดุลและมั่นคง การฝึกดาบเหนือยังช่วยพัฒนาความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น และการตอบสนองที่รวดเร็ว
วิชาพลองเหนือ 棍术
หลักสูตรวิชาพลองเหนือ (Gun Shu – 棍术) เป็นการฝึกการใช้พลองแบบมวยเหนือที่เน้นการเคลื่อนไหวที่กว้างและรวดเร็ว พร้อมด้วยการผสมผสานท่าฟาด ปัด แทง และหมุนพลองที่ทรงพลัง ท่าฝึกของ Gun Shu ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และการประสานงานของร่างกาย การฝึกพลองเหนือเน้นการควบคุมจังหวะ ความคล่องแคล่ว และการถ่ายน้ำหนักที่แม่นยำ เพื่อให้ผู้ฝึกสามารถใช้พลองได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ หลักสูตรนี้ยังช่วยพัฒนาความสมดุล การตอบสนองที่รวดเร็ว และการใช้พลองในการป้องกันและโจมตีที่หลากหลาย
วิชาทวนเหนือ 枪术 Qiang Shu
หลักสูตรทวนเหนือ (Qiang Shu – 枪术) เป็นหนึ่งในวิชาการฝึกอาวุธที่สำคัญในวูซู ซึ่งทวนถือเป็น “ราชาแห่งอาวุธยาว” ที่ต้องใช้ความชำนาญและความแข็งแรงของร่างกาย วิชาทวนเหนือประกอบด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแม่นยำ ทั้งการแทง ฟาด ปัด และป้องกันตัว ท่าทวนเหนือเน้นการควบคุมการเคลื่อนไหวที่ยืดหยุ่น พร้อมการถ่ายน้ำหนักที่มั่นคง การฝึก Qiang Shu จะช่วยเพิ่มพลังและการประสานงานระหว่างร่างกาย การทรงตัว และสมาธิ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการควบคุมทวนอย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรนี้ยังรวมถึงการฝึกการเคลื่อนไหวเท้าและการเปลี่ยนจังหวะอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ฝึกสามารถต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่วและทรงพลัง
วิชาพัดวูซู 扇子 Shanzi
หลักสูตรวิชาพัดวูซู (Shanzi – 扇子) เป็นการฝึกการใช้พัดในการต่อสู้แบบวูซูที่เน้นความงดงาม ความอ่อนช้อย และความรวดเร็วของการเคลื่อนไหว พัดวูซูใช้ท่าทางที่มีความลื่นไหลและความยืดหยุ่น โดยประกอบด้วยการเปิด-ปิดพัด การฟาด การปัด การหมุน และการใช้พัดเป็นอาวุธเสริมในการโจมตีและป้องกัน หลักสูตรนี้เน้นการฝึกการประสานงานระหว่างมือและขา การถ่ายน้ำหนักอย่างแม่นยำ และการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับลมหายใจ ผู้ฝึกจะได้ฝึกการควบคุมจังหวะ การรักษาสมดุล และการแสดงพลังด้วยท่าทางที่สง่างาม นอกจากนี้ วิชาพัดวูซูยังช่วยพัฒนาความแข็งแรงของข้อมือ ความยืดหยุ่นของร่างกาย และการใช้พัดเป็นเครื่องมือแสดงศิลปะการต่อสู้ที่มีเสน่ห์
วิชากระบองสามท่อน Sanjiegun 三节棍
หลักสูตรวิชากระบองสามท่อน (Sanjiegun – 三节棍) เป็นการฝึกศิลปะการใช้กระบองสามท่อนในวูซู ซึ่งเน้นการประสานการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว คล่องตัว และต่อเนื่อง กระบองสามท่อนมีความยืดหยุ่นและความยาวที่ช่วยให้ผู้ฝึกสามารถโจมตีได้หลากหลายทิศทาง โดยท่าฝึกพื้นฐานประกอบด้วยการเหวี่ยง ฟาด หมุน และปัดป้อง การฝึก Sanjiegun ต้องอาศัยการควบคุมที่แม่นยำ เนื่องจากอาวุธชนิดนี้ต้องใช้การประสานงานระหว่างมือและร่างกายอย่างเข้มงวด หลักสูตรนี้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และการควบคุมพลังในท่วงท่าต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเน้นการฝึกสมาธิและการตอบสนองที่รวดเร็ว เพื่อให้สามารถใช้กระบองสามท่อนในการป้องกันตัวและโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประวัติความเป็นมาของวูซู
วูซู (Wushu) หรือ วิทยายุทธ เป็นศิลปะการต่อสู้โบราณของจีนที่มีประวัติยาวนานและมีความสำคัญทางวัฒนธรรมของชาวจีนมาเป็นเวลากว่า 100 ปี คำว่า “วูซู” แปลตรงตัวว่า “วิทยายุทธ” ซึ่งสื่อถึงการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการต่อสู้แบบวิจิตรศิลป์ วูซูเป็นที่รู้จักในแวดวงนานาชาติตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ. 1985 หรือราวปี พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนยังคงอยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์และปิดประเทศ วูซูได้แพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะผ่านชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งเรียกกันในชื่อ “กังฟู” เป็นภาษาท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่ ภาพลักษณ์นี้ได้รับความนิยมมากจากภาพยนตร์กำลังภายในของฮ่องกงในอดีต
ต่อมา เมื่อประเทศจีนเปิดประเทศสู่สังคมโลก รัฐบาลจีนได้กำหนดชื่อทางการของศิลปะนี้ว่า “วูชู” (Wushu) หรือ “อู่ซู่” ในภาษาจีนกลาง ซึ่งแปลว่า “วิทยายุทธ” รัฐบาลจีนยังได้อนุโลมให้ใช้คำว่า “กังฟู” เพื่อเสริมการจดจำของคนทั่วโลก และอนุรักษ์คำว่า “กังฟู” ไว้สำหรับรูปแบบดั้งเดิมของวูซู ซึ่งเรียกว่า “ถวนถ่งวูซู” (Traditional Wushu) นอกจากจะเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ใช้สำหรับการปะทะและการป้องกันตัว วูซูยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาสุขภาพและสมรรถภาพทางกาย นอกจากนี้ วูซูมีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบที่เน้นการเคลื่อนไหวรวดเร็ว หรือการเคลื่อนไหวช้าๆ รวมถึงการใช้พลังภายในและพลังภายนอก แต่ละรูปแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สะท้อนวัฒนธรรมและประเพณีของจีน
วูซูในปัจจุบันได้พัฒนาไปสู่การเป็นกีฬาระดับสากล มีการแข่งขันทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนศิลปะวัฒนธรรมและแสดงถึงทักษะการต่อสู้ ซึ่งวูซูในรูปแบบการแข่งขันนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก
ประวัติความเป็นมาของวูซู
ในประเทศไทย วูซูเริ่มเข้ามาผ่านชาวจีนที่อพยพเข้ามาอาศัย ผู้ฝึกวูซูบางกลุ่มได้นำวิทยายุทธนี้มาใช้เป็นการแสดงต่อสาธารณะควบคู่กับการขายยาสมุนไพร และบางกลุ่มได้เปิดสถานที่ฝึกสอนวิชานี้อย่างเปิดเผย ชาวไทยได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แบบจีน โดยเฉพาะในสวนสาธารณะที่มีการฝึกฝน “ไท่เก๊ก” ซึ่งเป็นศิลปะการรำเพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุ วูซูจึงกลายเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในประเทศไทย
วิวัฒนาการและการพัฒนาของวูซู
วูซู หรือ วิทยายุทธ เป็นศิลปะการต่อสู้โบราณที่ถือเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมจีน มีประวัติยาวนานและมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจากอดีตสู่ปัจจุบัน วิชาการต่อสู้นี้เริ่มต้นในยุคแรกๆ ของสังคมมนุษย์จีน ซึ่งในช่วงนั้นการฝึกฝนทักษะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าและการใช้อาวุธเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการเอาชีวิตรอด ในยุคสมัยแรกๆ วิทยายุทธจีนมุ่งเน้นไปที่การป้องกันตัวเองและการสร้างเสริมสุขภาพ ต่อมาวูซูได้พัฒนาไปสู่การฝึกฝนเพื่อความแข็งแกร่งทางกายภาพและจิตใจ เพื่อใช้ในการต่อสู้ป้องกันและปกป้องดินแดน
การพัฒนาวูซูในราชวงศ์ซาง-โจว
ในสมัยราชวงศ์ซาง-โจว (1600–256 ปีก่อนคริสตกาล) วูซูไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้เพื่อป้องกันตัว แต่ยังถูกนำมาใช้ในบทเรียนสำหรับฝึกฝนทหารและเตรียมความพร้อมสำหรับการสงคราม การฝึกฝนเหล่านี้ไม่ได้จำกัดแค่การใช้อาวุธเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเรียนรู้กระบวนท่าต่างๆ เช่น การรำกระบอง การร่ายรำดาบ และอาวุธระยะยาวอย่างทวนและง้าว ทั้งนี้เพื่อสร้างความพร้อมในด้านกลยุทธ์การต่อสู้ การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในสนามรบ นับเป็นช่วงเวลาที่วูซูได้ผสานการต่อสู้เข้ากับศิลปะการร่ายรำอย่างมีความสง่างาม
ยุคชุนชิวและราชวงศ์ฮั่น - ความเจริญรุ่งเรืองของศิลปะการต่อสู้
ในยุคชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตกาล) และยุคราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 220) วูซูได้รับการยกย่องและสนับสนุนจากราชสำนัก ทำให้มีการพัฒนาศิลปะการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ในช่วงนี้มีการบันทึกถึงวิชาการต่อสู้ในหลายประเภท อาทิ การฝึกหมัดมวย การใช้เท้าในเพลงเตะ และการใช้อาวุธต่างๆ รวมถึงการจัดกลุ่มฝึกฝนในรูปแบบของสมาคมศิลปะการต่อสู้เพื่อรักษาวิทยายุทธและถ่ายทอดทักษะสู่รุ่นหลังๆ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยังมีการจัดการแข่งขันประลองฝีมืออย่างเป็นทางการ ทำให้วูซูเริ่มมีการพัฒนาเป็นกีฬาที่ใช้การฝึกฝนและการแข่งขันในการทดสอบทักษะและพละกำลัง
ราชวงศ์ถังและซ่ง - การพัฒนากลุ่มนักรบและสมาคมศิลปะการต่อสู้
ในยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) และซ่ง (ค.ศ. 960-1279) วูซูได้พัฒนาไปในด้านของการรวมกลุ่มเป็นสมาคมศิลปะการต่อสู้ โดยมีการจัดตั้งกลุ่มนักรบหรือชาวยุทธที่เดินทางไปทั่วเพื่อเผยแพร่วิทยายุทธ มีการแสดงศิลปะการต่อสู้ในที่สาธารณะเพื่อสร้างชื่อเสียงและเป็นอาชีพเลี้ยงชีพ ศิลปะการต่อสู้ในสมัยนี้ได้ผสมผสานกระบวนท่าต่างๆ เช่น การร่ายรำดาบ การร่ายรำทวน รวมถึงการฝึกทักษะที่จำเป็นในการต่อสู้ซึ่งถูกพัฒนาเป็นรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น
ราชวงศ์หมิงและชิง - ยุคทองของวูซู
ในยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) และชิง (ค.ศ. 1644-1911) ถือเป็นยุคทองของวูซู เนื่องจากมีการพัฒนาและสร้างสรรค์เพลงมวยหลากหลายรูปแบบ วิชาวูซูที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ ได้แก่ หมัดไท่จี๋, หมัดปากั้ว, หมัดสิ่งอี้ และสายมวยเส้าหลิน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาวิทยายุทธด้วยอาวุธ เช่น กระบอง ทวน และดาบแบบต่างๆ ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ วูซูในยุคนี้ได้ถูกถ่ายทอดสู่ชนชั้นต่างๆ ทั้งนักรบ นักปราชญ์ และประชาชนทั่วไป จึงทำให้ศิลปะการต่อสู้มีความหลากหลายและได้รับการยอมรับทั่วประเทศจีน
ยุคสาธารณรัฐจีนและการพัฒนาในระดับชาติ
เมื่อสาธารณรัฐจีนก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1912 รัฐบาลได้จัดตั้งสมาพันธ์วิทยายุทธขึ้นในหลายเมืองเพื่อรวบรวมและส่งเสริมการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ การแข่งขันประลองยุทธเริ่มมีขึ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการพัฒนาในด้านกีฬาและการส่งเสริมให้วิทยายุทธจีนเข้าสู่สากล โดยในปี ค.ศ. 1928 ได้มีการจัดตั้งสถาบันกลางเพื่อฝึกฝนวิทยายุทธแห่งชาติหรือ “จงยาง กว๋อซู่กว่าน” ที่กรุงนานกิง เพื่อควบคุมมาตรฐานและการฝึกฝนให้เป็นระเบียบ
การพัฒนาวูซูในยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน
หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949 รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมวูซูให้เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะวัฒนธรรมในระบอบสังคมนิยม โดยกำหนดให้วูซูเป็นหนึ่งในวิชาการกีฬาที่ใช้ในการเสริมสร้างสุขภาพและความแข็งแกร่งของประชาชน โดยในปี ค.ศ. 1953 มีการจัดงานมหกรรมกีฬาวูซูครั้งแรกที่เมืองเทียนจิน และในปี ค.ศ. 1956 มีการกำหนดกฎกติกาและมาตรฐานการฝึกฝนวูซู ทำให้วูซูเริ่มเป็นกีฬาที่มีการแข่งขันในระดับชาติและนานาชาติ
การจัดตั้งสหพันธ์วูซูนานาชาติและการยอมรับในระดับโลก
ในปี ค.ศ. 1985 ณ เมืองซีอาน ได้มีการจัดมหกรรมกีฬาวูซูระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก โดยมีการก่อตั้งสหพันธ์วูซูนานาชาติขึ้นอย่างเป็นทางการเพื่อผลักดันให้วูซูเป็นกีฬาระดับสากล ในปี ค.ศ. 1989 วูซูได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในกีฬาประเภทการแข่งขันในมหกรรมเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่กรุงปักกิ่ง มีผู้เข้าแข่งขันจาก 11 ประเทศ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาให้วูซูก้าวสู่การแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างแท้จริง
วูซู คือวิชาอะไร
วูซู (Wushu) หรือ วิทยายุทธ เป็นศิลปะการต่อสู้จีนโบราณที่ผสมผสานวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และจิตวิญญาณเพื่อสร้างความสมดุลและความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและจิตใจ วูซูไม่ใช่เพียงแค่กีฬาการแข่งขัน แต่เป็นวัฒนธรรมที่แฝงความหมายเชิงปรัชญาและคุณธรรม โดยเฉพาะการเน้นย้ำถึงการฝึกฝนจิตใจควบคู่กับร่างกาย นอกจากนี้ วูซูยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมของชาวจีนในเชิงลึก ตั้งแต่ความเคารพในจารีตประเพณี มารยาท การฝึกจิตสมาธิ ไปจนถึงความรักในสุขภาพและการสร้างเสริมพลานามัย
วูซูเป็นศิลปะแห่งปรัชญาและจิตวิญญาณ
วูซูไม่ได้เป็นเพียงวิธีการต่อสู้เพื่อป้องกันตัว แต่มุ่งเน้นให้ผู้ฝึกฝนเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างมีปรัชญา ในด้านจิตวิญญาณ ผู้ฝึกจะได้ฝึกฝนสมาธิและจิตใจให้มีความสงบ เยือกเย็น และสม่ำเสมอ เป็นศิลปะการฝึกฝนที่นำไปสู่การควบคุมลมปราณหรือพลังชีวิต (Qi) และความสมดุลในร่างกาย ความสำคัญของการฝึกจิตใจนี้สะท้อนให้เห็นในวัฒนธรรมของวัดเส้าหลิน ซึ่งมุ่งเน้นการฝึกยุทธที่เชื่อมโยงกับคำสอนของพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า ทำให้วูซูมีความหมายที่ลึกซึ้งและเป็นที่เคารพอย่างสูงทั้งในและนอกประเทศจีน
วูซูคือศาสตร์แห่งการสร้างเสริมสุขภาพ
นอกจากการเป็นศิลปะการต่อสู้ วูซูยังเป็นศาสตร์ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้กับผู้ฝึกฝนผ่านการฝึกฝนท่าทางและการเคลื่อนไหวที่ประณีต วูซูช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ความยืดหยุ่นของร่างกาย การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วและประณีตจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทและเส้นเอ็น ทำให้ร่างกายมีการไหลเวียนของเลือดและลมปราณได้ดี ช่วยบรรเทาโรคเรื้อรังและปัญหาสุขภาพที่เกิดจากความเครียด ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งในเชิงการป้องกันโรคและการฟื้นฟูสภาพร่างกาย
การแบ่งแขนงของวูซู
วูซูมีหลากหลายประเภท แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ ยุทธลีลา (Taolu) และประลองยุทธ (Sanda) โดยในยุทธลีลาหรือ Taolu จะเน้นการฝึกท่าทาง กระบวนการเคลื่อนไหว การประสานพลัง และสมาธิในการร่ายรำ ซึ่งแสดงถึงรากฐานของศิลปะการต่อสู้จีนในแต่ละสกุลและแต่ละภูมิภาค ในส่วนของประลองยุทธหรือ Sanda นั้นเน้นการปะทะจริง ใช้เทคนิคการต่อสู้ที่รวดเร็วและทรงพลัง วูซูยังมีอาวุธหลากหลาย เช่น กระบี่ ดาบ ง้าว และทวน ซึ่งผู้ฝึกสามารถเลือกเรียนได้ตามความถนัด
คุณประโยชน์ของวูซูในด้านการฝึกฝนสมาธิและการควบคุมลมปราณ
วูซูยังมีความสำคัญในการพัฒนาจิตใจและสมาธิ ผ่านการควบคุมการหายใจและการเคลื่อนไหวของลมปราณ ผู้ฝึกวูซูจะเรียนรู้การควบคุมสมดุลของพลังภายใน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างสมาธิและความมั่นคงในจิตใจ ความสมดุลนี้เป็นผลที่ได้จากการฝึกฝนให้มีความเชื่อมโยงระหว่างการหายใจ การเคลื่อนไหว และจิตใจ การฝึกที่เข้มงวดนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ฝึกแข็งแกร่งทางกายภาพ แต่ยังช่วยพัฒนาในด้านจิตใจ ทำให้เกิดความสงบและความชัดเจนในความคิด
วูซูในฐานะกีฬาและศิลปะการต่อสู้สากล
ในปัจจุบัน วูซูได้รับการยอมรับเป็นกีฬาสากล มีการจัดการแข่งขันในระดับนานาชาติ เช่น กีฬาเอเชียนเกมส์ และการแข่งขันในระดับโลก การแข่งขันกีฬาวูซูแบ่งออกเป็นประเภท Taolu ที่เน้นการแสดงทักษะยุทธลีลา และประเภท Sanda ที่เน้นการปะทะและการประลอง วูซูได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของศิลปะการต่อสู้จีนที่เปิดกว้างสู่โลก และช่วยสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์และวัฒนธรรมต่างๆ ผ่านการแข่งขันและการแลกเปลี่ยนศิลปะนี้
วูซูในฐานะสื่อเชื่อมวัฒนธรรมและความเป็นมิตร
วูซูไม่เพียงแต่เป็นศิลปะการต่อสู้ที่เน้นการฝึกฝนร่างกายและจิตใจเท่านั้น แต่ยังเป็นสื่อที่ช่วยเชื่อมโยงวัฒนธรรมระหว่างประเทศ วูซูถูกนำไปเผยแพร่ในหลากหลายประเทศผ่านการแสดง การแข่งขัน และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ศิลปะการต่อสู้นี้สอดแทรกความเป็นมิตรและมารยาทที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งผู้ฝึกจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การเคารพครูบาอาจารย์และเพื่อนฝึกไปจนถึงการควบคุมตนเองในการประลอง ทำให้วูซูเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างมิตรภาพและความสามัคคีในระดับนานาชาติ
การฝึกฝนในวิถีแห่งคุณธรรม
หลักสำคัญของการฝึกวูซูคือการฝึกฝนคุณธรรมควบคู่ไปกับทักษะการต่อสู้ วูซูไม่ใช่เพียงการเรียนรู้เพื่อใช้ทักษะทางกายภาพ แต่ยังเน้นให้ผู้ฝึกพัฒนาจิตใจไปพร้อมกัน คำสอนในวูซูมักเน้นถึงการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ การฝึกความอดทน และการเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น โดยมีเป้าหมายในการเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและจิตใจที่เข้มแข็ง วูซูจึงเป็นศิลปะที่สอนให้คนรู้จักตนเอง ควบคุมอารมณ์ และเคารพในชีวิตของผู้อื่น
วูซูในเชิงเวชศาสตร์และการบำบัด
วูซูยังมีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์การบำบัดและเวชศาสตร์แผนโบราณของจีนอีกด้วย นักวูซูผู้ฝึกฝนอย่างลึกซึ้งจะได้เรียนรู้ถึงการปฐมพยาบาลและการบำบัดรักษาตนเองเมื่อเกิดอาการบาดเจ็บจากการฝึกฝน วูซูเกี่ยวข้องกับหลักการรักษาด้วยการนวด การกดจุด และการใช้สมุนไพรเพื่อบำบัดร่างกาย นอกจากนี้ยังมีการฝึกควบคุมลมปราณและจิตใจเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูร่างกาย ซึ่งเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพในชีวิตประจำวันอีกด้วย
ความหลากหลายของวูซูในแต่ละภูมิภาค
วูซูมีหลากหลายแขนงและสกุลที่เกิดขึ้นจากภูมิภาคต่างๆ ของจีน ซึ่งแต่ละสกุลก็มีเอกลักษณ์และความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันไป อาทิ มวยเหนือที่เน้นการโจมตีและจับหักอย่างรวดเร็ว มวยใต้ที่เน้นความแข็งแรงของหมัดและท่าเท้า มวยที่เน้นพลังภายในและการควบคุมลมปราณ หรือมวยที่เน้นความรวดเร็วและพลิ้วไหวอย่างมวยฉางฉวน (Changquan) การแบ่งแยกเหล่านี้ไม่เพียงแค่เพิ่มความหลากหลายให้กับวูซู แต่ยังเป็นการรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมแต่ละภูมิภาคที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ