IMAC Dojo : International Martial Arts Center

เรียนยูโด Judo Class

โรงเรียนสอนศิลปะการป้องกันตัว IMAC Dojo สอนวิชายูโด Judo 柔道 วิชาต่อสู้แบบประชิดตัว ทุ่ม เชือด หัก ล็อก จากประเทศญี่ปุ่น สำหรับผู้สนใจเรียนยูโด โดยใช้หลักสูตรที่ปรับปรุงจากหลักสูตรของสถาบันโคโดกันยูโด Kodokan  ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนยูโดต้นตำรับจากประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งโดยปรมาจารย์คะโนะ จิโงะโร Kanō Jigorō (嘉納 治五郎) ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น วิชาแรกที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกจนได้บรรจุในการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ซึ่งวิชายูโดได้ถูกปรับปรุงจากวิชายิวยิตสูโดยตัดเทคนิคที่อันตรายจนทำให้ผู้ฝึกบาดเจ็บออก และใช้ระบบรันโดริ Randori คือการฝึกซ้อมแบบจริงจังโดยให้นักเรียนยูโดฝึกใช้เทคนิคการต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับเทคนิค การรู้จักการใช้แรงทั้งแรงต้านและแรงตาม ฝึกซ้อมไม่ใช่เพียงเพื่อชัยชนะ แต่เป็นการให้เกียรติคู่ซ้อมเพื่อพัฒนาก้าวหน้าไปด้วยกัน วิชายูโดเป็นวิชาที่คนรูปร่างเล็กสามารถชนะคนรูปร่างใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าได้

โรงเรียนสอนการต่อสู้ IMAC Dojo เป็นโรงเรียนสอนยูโด Judo ทั้งแบบ Group Class และแบบ Private Class สอนโดยครูสอนยูโดสายดำที่มีประสบการณ์ด้านการแข่งขันยูโดระดับมืออาชีพ เราสอนโดยใช้หลักสูตรยูโดของ Kodokan โดยมีการสอน 3 เทคนิคหลักของยูโดคือ Ukemi หรือการล้มที่ถูกต้องซึ่งเป็นพื้นฐานศิลปะการป้องกันตัวจากการล้ม ผู้เรียนยูโดจะลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาแขนหัก ขาหัก หรือคอหัก จากการล้ม และลดปัญหาการบาดเจ็บจากการฝึกหรือแข่งขัน ช่วยให้เรามีทักษะล้มป้องกันตัวได้จริงตลอดชีวิต, เทคนิค Nage Waza หรือท่าทุ่มยูโด และ เทคนิค Katame Waza หรือรู้จักกันในนาม Newaza หรือการจับล็อกหัก ซึ่งเป็นเทคนิคที่ถูกพัฒนาจนกลายเป็นวิชา BJJ หรือ Brazilian Jujitsu ที่นิยมเรียนกันทั่วโลก  การเรียนยูโดนอกจากป้องกันตัว การฝึกเป็นนักกีฬาแข่งขัน Match กีฬานักเรียนหรือกีฬาเยาวชนสามารถใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยโควต้านักกีฬาและมีโอกาสได้รับทุนนักกีฬาขณะศึกษาระดับมหาวิทยาลัย สำหรับผู้ใหญ่สามารถฝึกยูโดเพื่อฝึกร่างกาย จิตใจ ปลูกฝังค่านิยมในการใช้ชีวิตที่มีระเบียบ สร้างบุคคลิกที่ดีขึ้น ทำให้สามารถจดจ่อต่อสิ่งที่กำลังทำได้ดีขึ้น

ค่าเรียนยูโด IMAC DOJO

Judo Group Class Fee

ค่าเรียนยูโดแบบคลาสกลุ่ม

วันเวลาเรียน :

วันอาทิตย์ 15.30 - 19.00 น. (พักเวลา 17.00 - 17.30 น.)

ค่าเรียน :

2,000 บาทต่อเดือน (4 ครั้ง) กรณีหยุดไม่มีนโยบายชดเชยการสอน

การเตรียมตัวก่อนเรียน :

นักเรียนต้องมีชุดยูโด หรือสั่งซื้อกับทางโรงเรียนล่วงหน้าก่อนเรียน 3 วัน

Judo Private Class Fee

ค่าเรียนยูโดแบบคลาสตัวต่อตัว

วันเวลาเรียน :

นัดหมายเรียนด้วยระบบนัดหมายของ IMAC Dojo

ค่าเรียน :

1000 บาทต่อคนต่อครั้ง (90 นาที) นักเรียนที่เรียนเพิ่ม 200 บาทต่อคน

เงื่อนไขการเรียน :

นักเรียนชำระค่าเรียนในระบบจอง ไม่สามารถยกเลิกหรือปรับเลื่อนเวลานัดได้

การเตรียมตัวก่อนเรียน :

นักเรียนต้องมีชุดยูโด หรือสั่งซื้อกับทางโรงเรียนล่วงหน้าก่อนเรียน 3 วัน

JUDO GI

ค่าชุดยูโด

นักเรียนสามารถสั่งซื้อชุดยูโด โดยให้แจ้งชื่อ-นามสกุลผู้เรียน, เพศ, อายุ, ส่วนสูง และ น้ำหนัก ทาง LINE Official ID : @imacdojo ทางโรงเรียน IMAC Dojo จะทำการตรวจสอบขนาดชุดยูโดที่เหมาะสมและสั่งชุดจากสมาคมยูโดฯ โดยการสั่งชุดใช้เวลาประมาณ 3 วันทำการ (ไม่นับเสาร์อาทิตย์)

ชุดฝึกซ้อมยูโด ชุดสีขาว ความหนา 250 แกรม + เสื้อยืดยูโดของสำนัก

ส่วนสูง
ค่าชุด
ส่วนสูง 100 - 140 ซ.ม.
ค่าชุด 1,800 บาท
ส่วนสูง 150 - 170 ซ.ม.
ค่าชุด 1,900 บาท

ชุดฝึกซ้อมยูโด ชุดสีน้ำเงิน ความหนา 250 แกรม + เสื้อยืดยูโดของสำนัก

ส่วนสูง
ค่าชุด
ส่วนสูง 100 - 140 ซ.ม.
ค่าชุด 2,000 บาท
ส่วนสูง 150 - 170 ซ.ม.
ค่าชุด 2,200 บาท

ชุดฝึกซ้อมยูโด ชุดสีขาว ความหนา 450 แกรม + เสื้อยืดยูโดของสำนัก

ส่วนสูง
ค่าชุด
ส่วนสูง 150 - 160 ซ.ม.
ค่าชุด 2,700 บาท
ส่วนสูง 150 - 170 ซ.ม.
ค่าชุด 3,000 บาท

ชุดฝึกซ้อมยูโด ชุดสีน้ำเงิน ความหนา 450 แกรม + เสื้อยืดยูโดของสำนัก

ส่วนสูง
ค่าชุด
ส่วนสูง 150 - 160 ซ.ม.
ค่าชุด 3,100 บาท
ส่วนสูง 170 - 180 ซ.ม.
ค่าชุด 3,400 บาท

ชุดยูโด ชุดสีขาว ความหนา 750 แกรม + เสื้อยืดยูโดของสำนัก

ส่วนสูง
ค่าชุด
ส่วนสูงมากกว่า 150 ซ.ม.
ค่าชุด 4,900 บาท

ชุดยูโด ชุดสีน้ำเงิน ความหนา 750 แกรม + เสื้อยืดยูโดของสำนัก

ส่วนสูง
ค่าชุด
ส่วนสูงมากกว่า 150 ซ.ม.
ค่าชุด 5,500 บาท

ชุดยูโดญี่ปุ่น Sakura (ไม่ใช่ขอบทอง) ชุดสีขาว + เสื้อยืดยูโดของสำนัก

ส่วนสูง
ค่าชุด
ส่วนสูงมากกว่า 150 ซ.ม.
ค่าชุด 8,700 บาท

ชุดยูโดญี่ปุ่น Sakura (ไม่ใช่ขอบทอง) ชุดสีน้ำเงิน + เสื้อยืดยูโดของสำนัก

ส่วนสูง
ค่าชุด
ส่วนสูงมากกว่า 150 ซ.ม.
ค่าชุด 9,900 บาท

ทักษะพื้นฐานการฝึกยูโด

Judo Basic Techniques

พื้นฐานทั่วไปวิชายูโด

ทักษะการล้ม (Ukemi)

ทักษะการยืนทุ่ม (Tachiwaza)

หลักสูตรยูโด IMAC Dojo

โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ IMAC Dojo จัดสอนและสอบยูโดจากหลักสูตรภายในโรงเรียนที่ปรับจาก สถาบันโคโดกันยูโด Kodoka จากประเทศญี่ปุ่น นักเรียนยูโด IMAC Dojo สามารถฝึกตามระดับและขอสอบเพื่อวิทยะฐานะทางยูโดตามระดับของทางโรงเรียน

หลักสูตรยูโด Judo Level 1

หลักสูตรยูโด Judo Level 2

หลักสูตรยูโด Judo Level 3

หลักสูตรยูโด Judo Level 4

หลักสูตรยูโด Judo Level 5

หลักสูตรยูโด Judo Level 6

หลักสูตรยูโด Judo Level 7

การฝึกยูโดระดับสูง

กติกาและมารยาทในการแข่งขันยูโด

การฝึกซ้อมการต่อสู้ Randori

การฝึกแข่งขันตามกติกายูโด

การต่อสู้ในรูปแบบการแข่งขัน

การฝึกและปรับเทคนิคการป้องกันตัว

การเตรียมตัวสอบสายดำ (Dan Grade Testing Preparation)

หลักเกณฑ์การสอบเลื่อนวิทยฐานะยูโด

สมาคมกีฬายูโดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

สอบเลื่อนสายขาวขึ้นสายเขียว

สอบเลื่อนสายเขียวขึ้นสายฟ้า

นักกีฬาต้องแข่งขันโดยชนะ 3 คนติดต่อกัน (ไม่มีการสะสมผลการแข่งขัน)

สอบเลื่อนสายฟ้าขึ้นสายน้ำตาล

นักกีฬาต้องแข่งขันโดยชนะ 5 คน ติดต่อกัน (ยกละ 3 นาที) หรือเก็บผลชนะจากการสอบแข่งขันเลื่อนสายประจำปีทั้ง 5 ครั้งโดยต้องมีผลชนะ 6 คน

สอบเลื่อนสายน้ำตาลขึ้นสายน้ำตาลปลายดำ

นักกีฬาต้องแข่งขันโดยชนะ 5 คน ติดต่อกัน (ยกละ 3 นาที) หรือเก็บผลชนะจากการสอบแข่งขันเลื่อนสายประจำปีทั้ง 5 ครั้งโดยต้องมีผลชนะ 6 คน

สอบเลื่อนสายน้ำตาลปลายดำขึ้นสายดำขั้น 1

นักกีฬาต้องครองสายน้ำตาลปลายดำครบ 1 ปี และมีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป

คลิปความรู้ยูโด

IMAC Dojo Chanal

ท่านที่สนใจศึกษาวิชายูโด สามารถเข้าชมคลิป Youtube ของทางโรงเรียนสอนศิลปะการป้องกันตัว IMAC Dojo ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ทำคลิปท่ายูโดที่ครบที่สุดในประเทศไทย

เรียนยูโด : ประวัติศาสตร์และศิลปะการต่อสู้จากญี่ปุ่น

ยูโด (Judo) เป็นศิลปะการต่อสู้และกีฬาที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศญี่ปุ่น คำว่า “ยูโด” มีความหมายว่า “วิถีแห่งความอ่อนโยน” ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดในการใช้พลังของคู่ต่อสู้ให้เป็นประโยชน์ โดยแนวทางนี้เน้นการใช้ปัญญาและความเข้าใจมากกว่าการใช้กำลังเพียงอย่างเดียว ยูโดถูกพัฒนาขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยปรมาจารย์จิโกะโระ คะโน (Jigoro Kano) ผู้ซึ่งมุ่งหมายให้วิชานี้เป็นทั้งการต่อสู้และการฝึกจิตใจ โดยการปรับปรุงและดัดแปลงมาจากวิชายิวยิตสู (Jujutsu) ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้โบราณของนักรบญี่ปุ่นที่มุ่งเน้นการใช้เทคนิคเพื่อควบคุมและทำลายศัตรูในการต่อสู้ระยะประชิด

ปรมาจารย์คะโนเริ่มฝึกฝนยิวยิตสูด้วยความหวังที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเอง ซึ่งเดิมทีร่างกายของเขาค่อนข้างอ่อนแอตั้งแต่วัยเด็ก เขาได้ศึกษาศาสตร์นี้จากสำนักเทนจินชินโยริว (Tenjin Shinyo-ryu) และคิโตริว (Kitouryu) เขาได้นำเทคนิคที่ยอดเยี่ยมจากแต่ละสำนักมาผสมผสาน และสร้างสรรค์เทคนิคใหม่ที่ปลอดภัยในการฝึก โดยยึดหลักการ “ความอ่อนโยนชนะความแข็งแกร่ง” และต่อยอดให้เป็นหลักการ “การใช้พลังทางกายและใจให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

SEO-Judo

โคโดกัง ยูโด (Kodokan Judo) ซึ่งปรมาจารย์คะโนได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2425 ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการเผยแพร่แนวทางการฝึกที่เน้นการฝึกตนและการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ คำว่า “โคโดกัง” ซึ่งแปลว่า “สถานที่ที่สอนวิถี” บ่งบอกถึงปรัชญาของยูโดที่มุ่งเน้นการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ “เทคนิค” แต่คือ “วิถีทาง” แห่งการพัฒนาตนเองที่ครอบคลุมทุกด้าน

ยูโดได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายจากประชาชนญี่ปุ่นและระดับสากล เริ่มจากปี พ.ศ. 2429 เมื่อตำรวจญี่ปุ่นจัดการแข่งขันระหว่างนักยูโดของโคโดกังและนักยิวยิตสู ซึ่งยูโดได้รับการยอมรับในความมีประสิทธิภาพ จนกระทั่งมีการจัดตั้งสหพันธ์ยูโดระหว่างชาติ (International Judo Federation) ในปี พ.ศ. 2499 และยูโดกลายเป็นกีฬาสากลที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

นอกจากการเป็นผู้พัฒนายูโดแล้ว ปรมาจารย์คะโนยังเป็นบุคคลสำคัญในการส่งเสริมการศึกษาด้านกีฬาในญี่ปุ่นและทั่วโลก เขาได้รับการเชิญจากบารอน ปิแอร์ เดอ คูแบร์แต็ง ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ให้เป็นสมาชิกชาวเอเชียคนแรกในคณะกรรมการ และทำให้ยูโดได้กลายเป็นกีฬาสากลที่มีการแข่งขันในโอลิมปิกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507

ยูโดไม่ได้เป็นเพียงศิลปะการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังเป็นหลักการใช้ชีวิตที่มุ่งหมายให้ผู้ฝึกสามารถพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมรอบตัว ยูโดกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการฝึกฝนที่มีสมดุลของร่างกายและจิตใจ โดยยึดหลักการ “การใช้พลังอย่างมีประสิทธิภาพ” ที่ไม่เพียงช่วยในการต่อสู้ แต่ยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพและความสำเร็จในชีวิต

เป้าหมายในการเรียนยูโด

การเรียนยูโดเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ ในประเทศญี่ปุ่นจะมีผู้คนมากมายที่มาเรียนยูโด ตั้งแต่อายุ 6 ปีไปจนถึงวัยผู้สูงอายุมากกว่า 80 ปี ความหลากหลายของผู้ฝึกยูโดสะท้อนถึงความต้องการที่แตกต่างกันออกไป บางคนต้องการเรียนยูโดเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง บางคนฝึกฝนเพื่อพัฒนาจิตใจให้มีสมาธิและความมั่นคง หรือแม้แต่บางคนเรียนยูโดเพียงเพื่อสัมผัสความรู้สึกสดชื่นและเพลิดเพลินกับการออกกำลังกาย

การเรียนยูโดเน้นหลักการสำคัญ คือ “การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ” ซึ่งช่วยให้ผู้ฝึกเรียนรู้ที่จะใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าในทุกท่วงท่า โดยเฉพาะการฝึกฝนทฤษฎี “Tsukuri” และ “Kake” ซึ่งเป็นเทคนิคพื้นฐานของยูโด การฝึก Tsukuri คือการเตรียมตัวและทำให้คู่ต่อสู้เสียสมดุล (Kuzushi) เพื่อให้เกิดโอกาสในการลงมือใช้ท่าชี้ขาด (Kake) ซึ่งเป็นการฝึกให้ผู้เรียนยูโดสามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

นอกจากจะช่วยพัฒนาทักษะการต่อสู้แล้ว การเรียนยูโดยังมีเป้าหมายที่สำคัญในการสร้างคุณธรรมและความมีวินัย ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ถึงความเคารพต่อคู่ต่อสู้ การอดทน และการควบคุมอารมณ์ หลักการ Mutual Prosperity หรือ “การสำเร็จร่วมกันระหว่างผู้ฝึกก” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ปรมาจารย์คะโนเน้นย้ำ ช่วยให้ผู้ฝึกสามารถนำคุณค่าของยูโดไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่น การพัฒนาตนเองเพื่อช่วยเหลือสังคม หรือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คน

รายชื่อเทคนิคของยูโด

ยูโดเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ประกอบด้วยเทคนิคหลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละเทคนิคมีจุดมุ่งหมายเฉพาะและวิธีการที่แตกต่างกันไป ซึ่งการฝึกฝนและเรียนรู้เทคนิคเหล่านี้จะช่วยพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึก ยูโดมีการแบ่งเทคนิคออกเป็นหลายประเภทที่สำคัญ ได้แก่ เทคนิคการทุ่ม เทคนิคการจับล็อก และเทคนิคการรัด เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทมีรายละเอียดและการประยุกต์ใช้ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ

เทคนิคการทุ่ม (Throwing Techniques - 68 ท่า)

เทคนิคการทุ่มเป็นหัวใจหลักของยูโด ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายส่วนย่อย ได้แก่

เทคนิคมือ (Hand Techniques - 16 ท่า) :

การใช้มือในการจับและควบคุมคู่ต่อสู้ เพื่อสร้างแรงเหวี่ยงและทำให้คู่ต่อสู้ล้ม

  1. Seoi-nage (ทุ่มไหล่) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า วางศอกขวาไว้ใต้รักแร้ขวาของคู่ต่อสู้ แล้วทุ่มพาดคู่ต่อสู้ข้ามไหล่ขวา
  2. Ippon Seoi Nage (ท่าทุ่มไหล่แขนเดียว) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า จับแขนขวาจากด้านใน และทุ่มคู่ต่อสู้ข้ามไหล่ขวา
  3. Seoiotoshi (ท่าทุ่มไหล่พาดพื้น) เทคนิคที่ทุ่มคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า โดยวางคู่ต่อสู้บนหลังและวางเข่าหนึ่งหรือสองข้างลงบนพื้นแล้วดึงคู่ต่อสู้ลงและทุ่ม
  4. Taiotoshi (ท่าทุ่มแบบกาย) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า เปิดตัวเองไปทางซ้าย ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าใกล้เท้าขวาของคู่ต่อสู้ และดึงคู่ต่อสู้ลงเพื่อทุ่ม
  5. Shoulder Carry (ท่าทุ่มพาดไหล่) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า มือขวาจับภายในต้นขาขวาของคู่ต่อสู้ แล้วยกคู่ต่อสู้จากไหล่ขวาไปบนหลังคอและลงบนไหล่ซ้ายเพื่อทุ่ม
  6. Sukuinage (ท่าทุ่มแบบตักขึ้น) เทคนิคที่ก้าวไปหลังคู่ต่อสู้ จับต้นขาทั้งสองข้างด้วยมือทั้งสองแล้วดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลัง ตักขึ้นและทุ่ม
  7. Obiotoshi (ท่าทุ่มด้วยเข็มขัด) ใช้มือขวาจับเข็มขัดหน้าของคู่ต่อสู้ ดึงมาหาตัวเอง ก้าวไปข้างหลังด้านขวา มือซ้ายจับเอวคู่ต่อสู้จากด้านหน้าแล้วดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลังและทุ่มลง
  8. Ukiotoshi (ท่าทุ่มเบาๆ) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้าแล้วดึงลงที่มุมขวาด้านหน้าเพื่อทุ่ม
  9. Sumiotoshi (ท่าทุ่มเข้ามุม) ก้าวเท้าซ้ายไปนอกเท้าขวาของคู่ต่อสู้ ดันคู่ต่อสู้ลงที่มุมขวาด้านหลังเพื่อทุ่ม
  10. Yamaarashi (ท่าทุ่มพายุเขา) จับแขนเสื้อขวาของคู่ต่อสู้ด้วยมือซ้าย วางนิ้วหัวแม่มือของมือขวาด้านในแล้วจับปกคอขวาของคู่ต่อสู้ ดึงไปข้างหน้าและใช้เท้าขวากวาดขาขวาของคู่ต่อสู้ขึ้นเพื่อล้มลง
  11. Obitorigaeshi (ท่าทุ่มจับเข็มขัดจากด้านหลัง) ใช้มือขวาจับเข็มขัดของคู่ต่อสู้ข้ามไหล่ จับแขนหรือขาขวาด้วยมือซ้าย แล้ววางเข่าขวาระหว่างต้นขาของคู่ต่อสู้ แล้วยกขึ้นเพื่อล้มลงข้ามไหล่ขวา
  12. Morotegari (ท่าทุ่มด้วยการจับขา) เทคนิคที่จับขาคู่ต่อสู้จากด้านนอกด้วยมือทั้งสอง แล้วสับและทุ่มคู่ต่อสู้ลง
  13. Kuchikitaoshi (ท่าทุ่มด้วยการจับขาข้างเดียว) จับขาข้างหนึ่งของคู่ต่อสู้จากด้านในหรือด้านนอกด้วยมือข้างหนึ่ง ดึงขึ้นและดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลังเพื่อล้มลง
  14. Kibi Sugaeshi (ท่าทุ่มด้วยการจับส้นเท้า) จับส้นเท้าของคู่ต่อสู้จากด้านในหรือด้านนอกด้วยมือข้างหนึ่งและทุ่มคู่ต่อสู้
  15. Uchimata Sukashi (ท่าทุ่มอุจิมาตะ) เทคนิคการทุ่มที่ใช้ต้นขาด้านในของคู่ต่อสู้
  16. Kouchigaeshi (ท่าทุ่มหลบ Kouchigari) เทคนิคการทุ่มเพื่อตอบโต้และหลบการทำ Kouchigari ของคู่ต่อสู้

เทคนิคสะโพก (Hip Techniques - 10 ท่า) :

เทคนิคที่ใช้สะโพกเป็นจุดศูนย์กลางในการทุ่ม ทำให้สามารถควบคุมและทุ่มคู่ต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. Ukigoshi (ท่าทุ่มสะโพกตื้น) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า สอดแขนขวาใต้รักแร้ซ้ายของคู่ต่อสู้ ดึงสะโพกของคู่ต่อสู้เข้าหาตัวเอง พาดคู่ต่อสู้ไว้บนสะโพกแบบตื้น แล้วบิดตัวทุ่มลง
  2. Ogoshi (ท่าทุ่มสะโพกลึก) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า สอดแขนขวาใต้รักแร้ซ้ายของคู่ต่อสู้ โอบสะโพกคู่ต่อสู้แล้ววางคู่ต่อสู้ไว้บนหลังสะโพกและทุ่มลง
  3. Koshiguruma (ท่าทุ่มหมุนสะโพก) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า จับคอคู่ต่อสู้ด้วยแขนขวา วางสะโพกเข้าไปลึกในตัวคู่ต่อสู้ แล้วหมุนตัวทุ่มคู่ต่อสู้ลง
  4. Tsurikomigoshi (ท่าทุ่มสะโพกดึงลง) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า ดึงคู่ต่อสู้ลงสู่พื้น และวางบนหลังสะโพกเพื่อล้มลง
  5. Sode Tsuri Komigoshi (ท่าทุ่มสะโพกดึงแขนเสื้อ) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า ดึงแขนเสื้อคู่ต่อสู้แล้ววางบนสะโพกหลังและทุ่มลง
  6. Harai-goshi (ท่ากวาดสะโพก) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า วางคู่ต่อสู้บนสะโพกหลังขวา แล้วกวาดขาขวาขึ้นเพื่อล้มคู่ต่อสู้ลง
  7. Tsurigoshi (ท่าทุ่มสะโพกดึงเข็มขัด) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า จับเข็มขัดหลังของคู่ต่อสู้ด้วยมือขวา ดึงคู่ต่อสู้เข้าหาตัวเอง และวางบนสะโพกหลังเพื่อล้มลง
  8. Hanegoshi (ท่าทุ่มสะโพกดีด) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า แล้วยกสะโพกหลังขวาและขาขวาเพื่อดีดขึ้นและทุ่มคู่ต่อสู้ลง
  9. Utsurigoshi (ท่าทุ่มย้ายสะโพก) เทคนิคที่ยกคู่ต่อสู้ขึ้นจากสะโพกในขณะที่คู่ต่อสู้พยายามใช้เทคนิคทุ่ม และย้ายคู่ต่อสู้ไปที่สะโพกหลังแล้วทุ่มลง
  10. Ushirogoshi (ท่าทุ่มสะโพกถอยหลัง) เทคนิคที่ยกสะโพกคู่ต่อสู้ขึ้นและทุ่มลงตรง ๆ ในขณะที่คู่ต่อสู้พยายามใช้เทคนิคทุ่ม

เทคนิคเท้า (Foot Techniques - 21 ท่า) :

การใช้เท้าในการเกี่ยวหรือดึงคู่ต่อสู้เพื่อทำให้เสียสมดุล

  1. Deashiharai (ท่ากวาดขาด้านหน้า) ขณะที่คู่ต่อสู้ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าและลงน้ำหนัก ทุ่มโดยการใช้เท้าซ้ายกวาดขาของคู่ต่อสู้และทำให้ล้ม
  2. Hizaguruma (ท่าหมุนเข่า) เทคนิคที่ทุ่มคู่ต่อสู้ไปข้างหน้าโดยวางเท้าซ้ายรองรับหัวเข่าขวาของคู่ต่อสู้แล้วหมุนเพื่อทุ่ม
  3. Sasae Tsurikomiashi (ท่าดันรองข้อเท้า) ล่อให้คู่ต่อสู้เสียสมดุลไปข้างหน้า ใช้เท้าซ้ายรองข้อเท้าขวาของคู่ต่อสู้แล้วทุ่ม
  4. Osotogari (ท่ากวาดขาด้านนอก) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลังและใช้ขาขวากวาดขาของคู่ต่อสู้จากด้านนอกเพื่อทุ่ม
  5. Ouchigari (ท่ากวาดขาด้านใน) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลังและใช้ขาขวากวาดขาซ้ายของคู่ต่อสู้จากด้านในเพื่อทุ่ม
  6. Kosotogari (ท่ากวาดขาเล็กด้านนอก) ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลัง ใช้เท้าซ้ายจับขาขวาของคู่ต่อสู้จากด้านนอกและทุ่มลง
  7. Kouchigari (ท่ากวาดขาเล็กด้านใน) ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลัง ใช้เท้าขวาจับด้านในของขาขวาคู่ต่อสู้เพื่อล้มลง
  8. Okuriashiharai (ท่ากวาดขาส่งข้าง) เทคนิคที่ส่งคู่ต่อสู้ไปทางซ้ายแล้วใช้เท้าซ้ายกวาดเท้าขวาของคู่ต่อสู้พร้อมกันเพื่อล้มลง
  9. Uchimata (ท่ากวาดต้นขาด้านใน) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้าแล้วใช้ต้นขาด้านในของขาขวายกต้นขาด้านในของคู่ต่อสู้และทุ่ม
  10. Kosotogake (ท่าคว้าเล็กด้านนอก) ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลัง วางขาซ้ายรอบขาขวาของคู่ต่อสู้จากด้านนอกแล้วดึงตัวขึ้นเพื่อล้มคู่ต่อสู้
  11. Ashi-guruma (ท่าหมุนขา) เทคนิคที่ทุ่มคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า โดยวางขาขวาไว้ที่หัวเข่าขวาของคู่ต่อสู้เป็นจุดหมุนแล้วหมุนทุ่ม
  12. Harai Tsurikomiashi (ท่ากวาดขาล่อรองข้อเท้า) ล่อให้คู่ต่อสู้เสียสมดุลไปข้างหน้า ใช้เท้าซ้ายกวาดข้อเท้าขวาของคู่ต่อสู้จากด้านหน้าเพื่อล้มลง
  13. Oguruma (ท่าหมุนใหญ่) เทคนิคที่ทุ่มคู่ต่อสู้ไปข้างหน้าโดยใช้ขาขวารองรับที่ท้องล่างและต้นขาด้านบนของคู่ต่อสู้เป็นจุดหมุนและหมุนเพื่อล้มลง
  14. Osotoguruma (ท่าหมุนใหญ่ด้านนอก) ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลัง วางขาขวาไว้ด้านหลังขาทั้งสองข้างของคู่ต่อสู้เป็นจุดหมุนแล้วหมุนทุ่มลง
  15. Osoto Otoshi (ท่าทุ่มใหญ่แบบตรง) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลัง ใช้ขาขวาลื่นลงบริเวณต้นขาหลังขวาของคู่ต่อสู้แล้วทุ่มคู่ต่อสู้ลงตรง ๆ
  16. Tsubame Gaeshi (ท่าตอบโต้จิกการี) เทคนิคที่หลบการเตะของคู่ต่อสู้ด้วยเท้าแล้วใช้การเตะนั้นทุ่มคู่ต่อสู้
  17. Osotogaeshi (ท่าตอบโต้โอโซโตการิ) เทคนิคที่ตอบโต้การทุ่มโอโซโตการิของคู่ต่อสู้โดยใช้ขาที่ถูกตัดล้มคู่ต่อสู้ลง
  18. Ouchigaeshi (ท่าตอบโต้โออุจิการิ) เทคนิคการทุ่มที่ตอบโต้การโจมตีโออุจิการิของคู่ต่อสู้โดยใช้ขาที่ถูกตัดล้มลง
  19. Hanegoshi Gaeshi (ท่าตอบโต้ฮาเนโกชิ) เทคนิคที่ใช้ขาเกี่ยวหรือเกี่ยวขาข้างที่คู่ต่อสู้ยืนอยู่จากด้านนอกเพื่อล้มลง
  20. Harai-goshi-gaeshi (ท่าตอบโต้ฮาไรโกชิ) เทคนิคที่ตอบโต้ท่าฮาไรโกชิของคู่ต่อสู้โดยการเกี่ยวหรือแขวนขาที่ยืนอยู่จากด้านนอกเพื่อล้มลง
  21. Uchimatagaeshi (ท่าตอบโต้ท่าอุจิมาตะ) เทคนิคที่เกี่ยวต้นขาด้านในของคู่ต่อสู้หรือตอบโต้ท่าอุจิมาตะจากด้านนอกของขาเพื่อล้มคู่ต่อสู้

เทคนิคการเสียสละตนเองโดยตรง (True Self-Sacrifice Techniques - 5 ท่า) :

เทคนิคที่ผู้ฝึกยอมทิ้งสมดุลของตัวเองเพื่อทุ่มคู่ต่อสู้ โดยไม่เปลี่ยนทิศทาง

1.Tomoe-nage (ท่าทุ่มห่วงกลม) ท่าทุ่มที่ผลักคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า จากนั้นทิ้งตัวไปด้านหลัง วางฝ่าเท้าขวาที่ท้องล่างของคู่ต่อสู้ และทุ่มคู่ต่อสู้ข้ามศีรษะ

  1. Sumigashi (ท่าทุ่มมุมทิ้งตัว) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า จับคอเสื้อหรือด้านหลังของคู่ต่อสู้ด้วยมือขวา ดึงลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้เข้าหาตัวเอง จากนั้นทิ้งตัวไปด้านหลังและใช้ขาขวาส่วนล่างเตะต้นขาด้านในซ้ายของคู่ต่อสู้เพื่อล้มข้ามศีรษะ
  2. Hikikomi Gaeshi (ท่าทุ่มกระโดดกลับ) ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า จับเข็มขัดด้านหลังของคู่ต่อสู้ด้วยมือขวา ดึงลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้เข้าหาตัวเอง จากนั้นทิ้งตัวไปด้านหลังและใช้ขาขวาส่วนล่างกระแทกต้นขาด้านในซ้ายของคู่ต่อสู้เพื่อทุ่มข้ามศีรษะ
  3. Tawaragaeshi (ท่าทุ่มยกกลับ) เทคนิคที่ล้มคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า จากนั้นกระโดดข้ามหลังคู่ต่อสู้จากด้านหน้า ยกลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้ขึ้นด้วยแขนทั้งสองข้าง แล้วทุ่มคู่ต่อสู้กลับข้ามไหล่
  4. Uranage (ท่าทุ่มกลับหลัง) เทคนิคที่ตอบโต้การทุ่มของคู่ต่อสู้โดยการยกคู่ต่อสู้ขึ้น จากนั้นทุ่มถอยหลังและเหวี่ยงข้ามไหล่

เทคนิคการเสียสละตนเองด้านข้าง (Side Self-Sacrifice Techniques - 16 ท่า) :

เทคนิคที่ผู้ฝึกเสียสละสมดุลด้านข้างของตัวเองเพื่อให้สามารถทุ่มคู่ต่อสู้ได้

1.Yokootoshi (ท่าทุ่มตกด้านข้าง) ดันคู่ต่อสู้ไปทางขวา สไลด์ขาซ้ายไปใต้ขาขวาของคู่ต่อสู้ ทิ้งตัวไปทางซ้าย แล้วดึงคู่ต่อสู้ลงเพื่อล้ม

  1. Taniotoshi (ท่าทุ่มตกหุบเขา) ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลัง สไลด์ขาซ้ายไปด้านหลังคู่ต่อสู้ ทิ้งตัวไปทางซ้าย แล้วดึงคู่ต่อสู้ลงเพื่อล้ม
  2. Hanemakikomi (ท่าทุ่มดีดม้วน) นักยูโดกระโดดข้ามสะโพก จับแขนขวาของคู่ต่อสู้ใต้รักแร้ และพันรอบแขนเพื่อล้มคู่ต่อสู้
  3. Sotomakikomi (ท่าม้วนจากด้านนอก) เทคนิคที่ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า จับแขนขวาของคู่ต่อสู้ใต้รักแร้ วางสะโพกลึกเข้าในตัวคู่ต่อสู้ จากนั้นหมุนและทุ่มคู่ต่อสู้
  4. Uchimakikomi (ท่าม้วนจากด้านใน) ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า จับแขนขวาจากด้านใน วางสะโพกลึก และหมุนคู่ต่อสู้เพื่อล้ม
  5. Ukiwaza (ท่าทุ่มลอยตัว) ดันคู่ต่อสู้ไปทางขวา เหยียดขาซ้ายออกแล้วก้าวไปนอกขาขวาของคู่ต่อสู้ ทิ้งตัวไปทางซ้ายแล้วหมุนและทุ่ม
  6. Yokowakare (ท่าทุ่มแตกแยกด้านข้าง) เทคนิคที่ทุ่มคู่ต่อสู้ไปข้างหน้า โดยวางเท้าทั้งสองข้างนอกขาขวาของคู่ต่อสู้ ทิ้งตัวไปทางซ้ายและหมุนตัวทุ่มคู่ต่อสู้ข้ามตัว
  7. Yokoguruma (ท่าม้วนตัวด้านข้าง) ตอบโต้การทุ่มของคู่ต่อสู้ด้วยการจับเอวคู่ต่อสู้ด้วยมือซ้าย ดันไปข้างหน้า หมุนตัวและสไลด์เท้าขวาระหว่างขาคู่ต่อสู้ และทุ่มไปทางซ้าย
  8. Yokogake (ท่าทุ่มเหยียบด้านข้าง) เทคนิคที่ทุ่มคู่ต่อสู้ไปทางปลายนิ้วก้อยของเท้าขวา ทิ้งตัวไปทางซ้าย และใช้เท้าซ้ายดันข้อเท้าด้านนอกขวาของคู่ต่อสู้เพื่อล้มลง
  9. Dakiwakare (ท่าทุ่มแยกออกด้านข้าง) จับร่างบนของคู่ต่อสู้จากด้านหลังขณะที่เขาพยายามวางมือและเท้าบนพื้น จากนั้นหมุนตัวทุ่มคู่ต่อสู้ข้างตัว
  10. Osoto Makikomi (ท่าม้วนตัวแบบโอซุโต) เทคนิคที่ใช้โอซุโตการิทุ่มคู่ต่อสู้ จากนั้นพันแขนขวารอบรักแร้คู่ต่อสู้ และหมุนตัวเพื่อล้มคู่ต่อสู้
  11. Uchimata Makikomi (ท่าม้วนตัวอุจิมาตะ) เทคนิคที่จับคู่ต่อสู้ด้วยแขนขวาและพันรอบรักแร้เพื่อล้มคู่ต่อสู้
  12. Harai Makikomi (ท่าม้วนตัวฮาไรโกชิ) ทุ่มคู่ต่อสู้ด้วยฮาไรโกชิ โดยจับแขนขวาของคู่ต่อสู้ใต้รักแร้ และพันรอบแขนเพื่อล้ม
  13. Kouchimakikomi (ท่าม้วนตัวโคอุจิ) ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลัง ใช้ขาขวาเกี่ยวขาขวาของคู่ต่อสู้จากด้านใน ทิ้งตัวไปข้างหน้า และหมุนเพื่อล้มคู่ต่อสู้
  14. Kanibashimi (ท่าหนีบปู) ดันคู่ต่อสู้ไปข้างหลัง เปิดตัวไปทางซ้ายจากด้านซ้ายของคู่ต่อสู้ วางขาขวาที่ท้องล่างของคู่ต่อสู้ และขาซ้ายไว้หลังหัวเข่าทั้งสองข้าง ทิ้งตัวไปทางซ้าย แล้วหนีบคู่ต่อสู้ระหว่างขาเพื่อล้มลง

16. Kawazukake (ท่าทุ่มข้ามขา) ดึงคู่ต่อสู้เข้าหาตัว เปิดตัวไปทางซ้าย พันขาขวารอบด้านในของขาซ้ายคู่ต่อสู้ แล้วยกขานั้นไปข้างหน้าและทุ่มคู่ต่อสู้

เทคนิคการจับล็อก (Grappling Techniques - 32 ท่า)

เทคนิคการจับล็อกในยูโดประกอบไปด้วย:

เทคนิคการกดล็อก (Hold-down Techniques - 10 ท่า) :

เทคนิคที่ใช้ในการกดล็อกคู่ต่อสู้บนพื้นเพื่อไม่ให้สามารถเคลื่อนที่ได้

1.Kesagatame (ท่าล็อกคล้องคอ) เทคนิคที่ใช้แขนซ้ายจับแขนขวาของคู่ต่อสู้จากด้านขวาขณะที่คู่ต่อสู้นอนหงาย มือขวาจับหลังคอเสื้อของคู่ต่อสู้ และใช้หน้าอกด้านขวากดลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้ไว้

  1. Kuzurekesagatame (ท่าล็อกคล้องคอแบบปรับ) เทคนิคที่จับแขนขวาของคู่ต่อสู้ด้วยแขนซ้าย สอดมือขวาเข้าใต้รักแร้ซ้ายของคู่ต่อสู้ และใช้หน้าอกด้านขวากดลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้จากด้านขวาขณะที่เขานอนหงาย
  2. Ushiro Kesagatame (ท่าล็อกคล้องคอด้านหลัง) เทคนิคที่วางสะโพกซ้ายบนด้านขวาของร่างคู่ต่อสู้ จับแขนขวาของคู่ต่อสู้ด้วยแขนขวา ใช้แขนซ้ายกดลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้ และใช้หน้าอกด้านซ้ายกดลำตัวส่วนบนจากด้านขวา
  3. Shoulder Hold (ท่าล็อกไหล่) เทคนิคที่ใช้แขนทั้งสองจับแขนขวาและคอของคู่ต่อสู้ขณะที่เขานอนหงาย แล้วกดลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้ไว้ด้วยแรงกด
  4. Kamishiho-tame (ท่าล็อกครอบด้านบน) เทคนิคที่จับล็อกคู่ต่อสู้ขณะที่นอนหงาย โดยใช้มือทั้งสองจับเข็มขัดด้านข้างของคู่ต่อสู้จากเหนือศีรษะ แล้วกดลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้ด้วยหน้าอกและท้อง
  5. Kuzurekami Shiho-tame (ท่าล็อกครอบด้านบนแบบปรับ) เทคนิคที่ล็อกคู่ต่อสู้ขณะที่นอนหงายโดยใช้แขนขวาจากมุมเฉียงด้านขวาของศีรษะ มือซ้ายจับเข็มขัดด้านซ้ายของคู่ต่อสู้ แล้วใช้หน้าอกและท้องกดลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้
  6. Yokoshiho-gatame (ท่าล็อกสี่ด้านข้าง) เทคนิคที่ใช้มือขวาสอดใต้ขาของคู่ต่อสู้เพื่อจับเข็มขัดหรือใต้รักแร้จากด้านขวา และใช้มือซ้ายสอดใต้คอของคู่ต่อสู้จับปกเสื้อด้านซ้าย แล้วกดลำตัวส่วนบนด้วยหน้าอกและท้อง
  7. Tateshiho-tame (ท่าล็อกสี่ด้านแนวตั้ง) เทคนิคที่หันหน้าเข้าหาคู่ต่อสู้ที่นอนหงาย จับแขนขวาและคอของคู่ต่อสู้ด้วยแขนทั้งสอง ขาหนีบร่างล่างของคู่ต่อสู้ระหว่างขาทั้งสองข้าง และกดลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้ด้วยหน้าอกและท้อง
  8. Ukigatame (ท่าล็อกลอย) เทคนิคที่ล็อกแขนขวาของคู่ต่อสู้จากด้านขวาด้วยแขนข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง เหยียดขาซ้ายไปข้างหลัง และใช้ขาขวากดลำตัวส่วนบนของคู่ต่อสู้

10. Uragatame (ท่าล็อกกลับหลัง) เทคนิคที่ล็อกแขนขวาของคู่ต่อสู้จากด้านขวาขณะที่นอนหงาย ใช้มือซ้ายจับขาของคู่ต่อสู้ และกดลำตัวด้วยหลัง

เทคนิคการรัด (Strangling Techniques - 12 ท่า) :

การใช้มือหรือแขนในการรัดคอหรือหลอดลมของคู่ต่อสู้

1.Namijujijime (ท่ารัดคอแบบไขว้ธรรมดา) เทคนิคที่ไขว้ข้อมือด้านหน้าของคู่ต่อสู้ วางนิ้วหัวแม่มือของทั้งสองข้างไว้ด้านในและจับคอเสื้อของคู่ต่อสู้ กดคอเพื่อรัดคอคู่ต่อสู้

  1. Reverse Cross Choke (Gyakujujijime – ท่ารัดคอไขว้ย้อนกลับ) เทคนิคที่ไขว้ข้อมือด้านหน้าของคู่ต่อสู้ วางนิ้วทั้งสี่ข้างไว้ด้านในและจับคอเสื้อของคู่ต่อสู้ ใช้แขนกดคอเพื่อรัดคอคู่ต่อสู้
  2. Katajujijime (One-sided cross choke – ท่ารัดคอไขว้ด้านเดียว) เทคนิคที่ไขว้ข้อมือด้านหน้าของคู่ต่อสู้ ใช้นิ้วทั้งสี่ของมือซ้ายจับคอเสื้อด้านซ้ายของคู่ต่อสู้และนิ้วหัวแม่มือของมือขวาจับคอเสื้อด้านขวา ดึงมือซ้ายและผลักมือขวาเพื่อล็อกคอคู่ต่อสู้
  3. Hadakajime (Naked choke – ท่ารัดคอเปลือย) เทคนิคที่วางปลายแขนขวาด้านหน้าของคอคู่ต่อสู้จากด้านหลังโดยไม่ใช้ชุดยูโด และใช้มือซ้ายเสริมเพื่อกดคอคู่ต่อสู้
  4. Okurie Rijime (ท่ารัดคอส่ง) จากด้านหลังคู่ต่อสู้ มือขวาสอดผ่านหน้าคอคู่ต่อสู้และจับคอเสื้อด้านซ้าย มือซ้ายสอดใต้รักแร้ซ้ายและจับคอเสื้อด้านขวา ดึงมือขวาไปทางขวาและมือซ้ายกดลงเพื่อล็อกคอคู่ต่อสู้
  5. Katahime (ท่ารัดคอข้างเดียว) จากด้านหลังคู่ต่อสู้ มือขวาสอดผ่านหน้าคอและจับคอเสื้อด้านซ้าย มือซ้ายสอดใต้รักแร้ซ้ายและยกแขนขึ้นเล็กน้อย พร้อมทั้งเปิดตัวไปทางขวา ดึงมือขวาไปทางขวาและดันมือซ้ายเพื่อล็อกคอคู่ต่อสู้
  6. Katatejime (One-handed choke – ท่ารัดคอมือเดียว) เทคนิคที่คู่ต่อสู้นอนหงาย มือขวาจับคอเสื้อด้านขวาของคู่ต่อสู้จากด้านซ้าย โดยวางนิ้วหัวแม่มือด้านในและใช้ข้อมือกดคอเพื่อล็อกคอคู่ต่อสู้
  7. Ryotejime (Double-handed choke – ท่ารัดคอสองมือ) จากด้านหน้าคู่ต่อสู้ ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างหันเข้าหากัน จับคอเสื้อซ้ายของคู่ต่อสู้ด้วยมือขวาและคอเสื้อขวาด้วยมือซ้าย กดด้วยกำปั้นเพื่อล็อกคอคู่ต่อสู้
  8. Sodeguru Majime (ท่ารัดคอแบบแขนเสื้อ) จากด้านหน้าคู่ต่อสู้ วางปลายแขนขวาไว้ที่ด้านหน้าคอของคู่ต่อสู้และปลายแขนซ้ายที่ด้านหลังของคอ จับปลายแขนเสื้อขวาด้วยมือซ้ายและดันมือขวาเข้าสู่คอด้านขวาของคู่ต่อสู้เพื่อล็อกคอ
  9. Tsukkomijime (Thrust choke – ท่ารัดคอแบบดัน) จากด้านหน้าคู่ต่อสู้ วางนิ้วหัวแม่มือหันเข้าด้านใน จับคอเสื้อด้านขวาด้วยมือซ้ายและคอเสื้อด้านซ้ายด้วยมือขวา ดันมือขวาเข้าสู่คอด้านขวาของคู่ต่อสู้เพื่อล็อกคอ
  10. Triangle choke (ท่ารัดคอสามเหลี่ยม) ใช้ขาหนีบคอและรักแร้ขวาของคู่ต่อสู้ วางเท้าขวาไว้ด้านหลังหัวเข่าซ้าย และกดคอเป็นรูปสามเหลี่ยมเพื่อล็อกคอคู่ต่อสู้

12. Dojime (ท่ารัดตัว) เทคนิคที่ใช้ขาทั้งสองข้างหนีบลำตัวของคู่ต่อสู้และบีบเพื่อล็อก

เทคนิคการล็อกข้อต่อ (Joint Lock Techniques - 10 ท่า) :

การล็อกข้อต่อเพื่อให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้หรือยอมแพ้

1.Udegarami (ท่าบิดแขน) เทคนิคที่จับข้อมือซ้ายของคู่ต่อสู้ด้วยมือซ้ายจากด้านขวาในขณะที่คู่ต่อสู้นอนหงาย จากนั้นใช้มือขวาสอดใต้แขนบนของคู่ต่อสู้เพื่อจับข้อมือซ้ายของตนเองแล้วบิดข้อศอกเพื่อควบคุมคู่ต่อสู้

  1. Armbar (ท่าล็อกแขนยืดข้อศอก) เทคนิคที่คู่ต่อสู้นอนหงาย ใช้มือทั้งสองข้างจับข้อมือขวาของคู่ต่อสู้ แขนบนถูกหนีบระหว่างต้นขาทั้งสองข้าง ยืดและกดข้อศอกเพื่อควบคุมคู่ต่อสู้
  2. Udehishigi Udegatame (ท่าล็อกแขน) เทคนิคที่คู่ต่อสู้นอนหงาย ใช้ข้อมือซ้ายหนีบระหว่างคอและไหล่ขวา ยืดและกดข้อศอกด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อควบคุมคู่ต่อสู้
  3. Udehishigi Hizagatame (ท่าบีบข้อศอกด้วยเข่า) จากด้านหน้าของคู่ต่อสู้ ใช้รักแร้ซ้ายหนีบแขนขวาของคู่ต่อสู้ กดข้อศอกด้วยเข่าซ้าย ยืดและควบคุมคู่ต่อสู้
  4. Udehishigi Wakigatame (ท่าล็อกแขนใต้รักแร้) เทคนิคที่ใช้มือทั้งสองจับข้อมือขวาของคู่ต่อสู้ หนีบแขนใต้รักแร้ซ้าย ยืดและกดข้อศอกเพื่อควบคุมคู่ต่อสู้
  5. Udehishigi Haragatame (ท่าล็อกแขนบนท้อง) เทคนิคที่ใช้มือขวาจับข้อมือขวาของคู่ต่อสู้จากด้านขวา วางแขนบนท้องและยืดข้อศอกเพื่อล็อกควบคุมคู่ต่อสู้
  6. Udehishigi Ashigatame (ท่าล็อกแขนด้วยขา) เทคนิคที่ใช้เท้าขวาหนีบแขนขวาของคู่ต่อสู้จากด้านขวาในขณะที่เขานอนคว่ำ ยืดและกดข้อศอกเพื่อล็อกควบคุม
  7. Udehishigi Tegatame (ท่าล็อกแขนด้วยมือ) จากด้านขวาของคู่ต่อสู้ สอดแขนซ้ายใต้รักแร้ขวาของคู่ต่อสู้ จับคอเสื้อด้านหน้าซ้ายของคู่ต่อสู้ มือขวาจับข้อมือขวา ยืดและกดข้อศอกเพื่อล็อกควบคุมคู่ต่อสู้ อีกเทคนิคหนึ่งคือใช้มือข้างหนึ่งหรือทั้งสองจับข้อมือคู่ต่อสู้ที่นอนคว่ำ หมุนไปด้านหลังและบิดข้อศอกเพื่อล็อก
  8. Udehishigi Sankakugatame (ท่าล็อกสามเหลี่ยม) เทคนิคที่ใช้ขาหนีบคอและรักแร้ขวาของคู่ต่อสู้ วางเท้าขวาด้านหลังหัวเข่าซ้าย ล็อกแขนในรูปสามเหลี่ยม บิดหรือยืดข้อศอกเพื่อกดควบคุมคู่ต่อสู้

10. Ashigarami (ท่าล็อกขาด้วยขา) จากด้านหน้าของคู่ต่อสู้ สอดเท้าซ้ายระหว่างขาทั้งสองของคู่ต่อสู้ วนขาขวาจากด้านหลังไปด้านหน้า บีบและกดที่ท้องล่างของคู่ต่อสู้ ยืดและกดข้อเข่าเพื่อล็อกควบคุม