IMAC Dojo : International Martial Arts Center
เรียนมวยไทเก๊กตระกูลเฉิน
Chen Taichi
อาจารย์หวงเลี่ยจาว (黄烈昭) ธนะโรจน์ ศุภพิทักษ์พงษ์ มีความเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้หลากหลายแขนง เช่น มวยจีนเส้าหลิน (Shaolin), ยูโด (Judo), คาราเต้เคียวคุชิน (Kyokushin Karate) และศึกษาแพทย์แผนจีน TCM โดยศึกษาที่มหาวิทยาลัย Nanjing University of Chinese Medicine ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับที่ 6 ในมณฑลกวางตุ้ง จึงมีความรู้ภาษาจีนอย่างดีและมีโอกาสได้เรียนมวยไทเก๊ก (ไท่จี๋) ตระกูลเฉิน จากซือฟู่ ชุยเฉิงหลง (崔成龙) ซึ่งเป็นศิษย์สายตรงจาก จางตงอู่ ทายาทรุ่นที่ 13 ของไท่จี๋สายเฉิน ซึ่งซือฟู่ ชุยเฉิงหลง ได้รับระดับ 6 Duan ในวิชาศิลปะการต่อสู้จีนและเป็นแชมป์ไท่จี๋จากการแข่งขันระดับนานาชาติ อาจารย์ได้ก่อตั้ง สำนักหนานจิงเฉิงหลงไท่จี๋ฉวนกวน ด้วยปณิธานสืบสานมรดกศิลปะจีน ถ่ายทอดสุขภาพ ศึกษาไทจี๋ และ พัฒนาร่างกายและจิตใจ ท่านได้กล่าวว่า “การเป็นผู้สืบทอดไท่จี๋ ไม่ใช่เพียงแค่ฝึกฝนร่างกาย แต่ต้องดำรงตนให้เป็นแบบอย่าง มีวินัย และตั้งใจถ่ายทอดวิชาอย่างถูกต้อง”
ไท่จี๋เป็นศาสตร์โบราณที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลในฐานะศาสตร์แห่งสุขภาพ ด้วยคุณประโยชน์ที่โดดเด่นในการบำรุงร่างกายและจิตใจ ไท่จี๋ได้รับการบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลจีนผ่านแผน “สุขภาพจีน 2030” (Healthy China 2030 Plan) 📜 ไท่จี๋สายเฉิน (陈氏太极拳) ถือกำเนิดเมื่อกว่า 300 ปีที่แล้ว ณ หมู่บ้านเฉินเจียโกว (Chenjiagou) เมืองเหวินเซี้ยน มณฑลเหอหนาน ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเหลือง โดย อาจารย์จาง ตงอู่ (张东武) ทายาทรุ่นที่ 12 ของไท่จี๋สายเฉิน และศิษย์ของเขาได้อุทิศตนเพื่อเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้นี้ผ่าน การสอนกระบวนท่า, ศิลปะการใช้อาวุธ, การบำรุงสุขภาพ และเทคนิคผลักมือ (Tui Shou 推手) เพื่อสืบสานมรดกวัฒนธรรมจีนให้คงอยู่สืบไป

ค่าเรียนมวยไทเก๊กตระกูลเฉิน
Chen Taichi Group Class
ค่าเรียนแบบคลาสกลุ่ม
วันเวลาเรียน :
วันเสาร์ 19:30 – 20:45 น.
ค่าเรียน :
1500 บาทต่อเดือน (4 ครั้ง) กรณีหยุดไม่มีนโยบายชดเชยการสอน
ค่าเสื้อสำนัก :
300 บาทต่อตัว นักเรียนต้องใส่ชุดสำนักในขณะที่เรียนคลาสกลุ่ม
การเตรียมตัวก่อนเรียน :
กางเกงที่ใส่เรียน ให้นักเรียนเลือกซื้อเองรุ่นที่ยืดขาได้สะดวก
Chen Taichi Private Class
ค่าเรียนแบบคลาสตัวต่อตัว
ค่าเรียน :
1000 บาทต่อคนต่อครั้ง (60 นาที) นักเรียนที่เรียนเพิ่ม 200 บาทต่อคน
เงื่อนไขการเรียน :
นักเรียนชำระค่าเรียนในระบบจอง ไม่สามารถยกเลิกหรือปรับเลื่อนเวลานัดได้
หลักสูตรมวยไทเก๊กตระกูลเฉินของ IMAC Dojo
Chen-style Taijiquan Laojia Yilu (陈式太极拳老架一路)
Chen-style Taijiquan Laojia Yilu (Old Frame First Routine of Chen-style Taijiquan) เป็นชุดรำพื้นฐานของ ไท่จี๋ฉวนสายเฉิน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของไท่จี๋ฉวนทุกแขนงในปัจจุบัน มีลักษณะการเคลื่อนไหวที่ผสมผสานระหว่าง ความนุ่มนวลและความแข็งแกร่ง (刚柔相济 – Gang Rou Xiang Ji) ใช้หลักการ พลังเกลียว (缠丝劲 – Chán Sī Jìn) และการเคลื่อนไหวที่เป็นวงกลม
ประวัติและพัฒนาการของ Chen-style Taijiquan
- ก่อตั้งขึ้นในช่วงราชวงศ์หมิงและพัฒนาโดย เฉินหวังถิง (陈王廷, Chen Wangting) นักรบและขุนนางในยุคนั้น
- เดิมทีมี 5 ชุดรำ (套路 - Tàolù) และต่อมาได้พัฒนาเป็น Laojia (Old Frame) และ Xinjia (New Frame)
- ภายในหมู่บ้านเฉินเจียโกว (Chenjiagou) ในมณฑลเหอหนาน ศิลปะนี้ได้สืบทอดกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
ลักษณะเด่นของ Chen-style Taijiquan Laojia Yilu
1. ใช้พลังเกลียว (缠丝劲 - Chán Sī Jìn)
- การเคลื่อนไหวทั้งหมดเน้นรูปแบบวงกลม (螺旋 - Luóxuán, Spiral Motion)
- ใช้หลักการของ พลังเกลียวไหม (Silk Reeling Energy) เพื่อให้พลังงานไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
2. การผสมผสานระหว่างช้าและเร็ว (快慢相间 - Kuài Màn Xiāng Jiān)
- การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ช้า แต่มีจังหวะที่เร่งความเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน เช่น การปล่อยพลัง (Fajin 发劲)
3. การควบคุมร่างกายด้วยหลัก Yin-Yang
- อาศัยหลัก หยินหยาง (阴阳 - Yīn Yáng) ในการเคลื่อนไหว
- การเคลื่อนไหวต้องสัมพันธ์กันทั้งภายนอกและภายใน
4. ใช้พลังจากแกนกลางลำตัว (腰为主宰 - Yāo Wéi Zhǔzǎi)
- เน้นการใช้เอวเป็นศูนย์กลางของพลังงาน
- แรงขับเคลื่อนมาจากส่วนกลางของร่างกาย
ความแตกต่างระหว่าง Laojia Yilu และ Erlu (Pao Chui 炮捶)
Laojia Yilu (老架一路)
- เน้นความนุ่มนวล ค่อยเป็นค่อยไป
- เหมาะสำหรับการฝึกพลังภายใน (Nei Gong 内功)
- ฝึกฝนพื้นฐานของไท่จี๋ฉวน
Laojia Erlu (炮捶 - Pào Chuí)
- มีพลังระเบิดที่รุนแรงขึ้น
- ใช้แรงมากกว่า Yilu
- มีการกระโดดและเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว
การฝึกฝน Laojia Yilu และประโยชน์
- เสริมสร้างสุขภาพ – ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น และส่งเสริมการทำงานของอวัยวะภายใน
- ฝึกฝนพลังภายใน – พัฒนาการใช้พลังจิง (劲 - Jìn) และการควบคุมลมหายใจ
- เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นของร่างกาย
- ช่วยฝึกสมาธิและจิตใจให้สงบ
Chen-style Taijiquan Laojia Yilu ถือเป็นรากฐานสำคัญของ ไท่จี๋ฉวนสายเฉิน และเป็นพื้นฐานของไท่จี๋ฉวนทุกสายที่พัฒนาขึ้นมาในภายหลัง เช่น Yang-style, Wu-style, Sun-style เป็นต้น
หมายเหตุ :
การฝึก Laojia Yilu ต้องอาศัยการเรียนรู้จากอาจารย์ที่เชี่ยวชาญและใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้าใจถึงพลังและหลักการของไท่จี๋ฉวนอย่างลึกซึ้ง
ประวัติ ไท่จี๋ฉวนตระกูลเฉิน (陈氏太极拳)
ศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมของจีน
ไท่จี๋ฉวนตระกูลเฉิน (陈氏太极拳, Chen Style Tai Chi) เป็นหนึ่งในสายของไท่จี๋ฉวนที่เน้นการผสานระหว่าง พลังภายใน (内劲, Nei Jin) และ การออกแรงภายนอก (外功, Wai Gong) โดยให้ความสำคัญทั้งในด้านสุขภาพและศิลปะการต่อสู้
ในปี 2019 กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนได้มอบหมายให้ศูนย์มรดกวัฒนธรรมของเมืองเจียวจั่ว (焦作市) เป็นหน่วยงานหลักในการคุ้มครองและส่งเสริมไท่จี๋สายเฉิน
ไท่จี๋ฉวนตระกูลเฉิน (陈氏太极拳, Chen Style Tai Chi) เป็นหนึ่งในสายของไท่จี๋ฉวนที่เน้นการผสานระหว่าง พลังภายใน (内劲, Nei Jin) และ การออกแรงภายนอก (外功, Wai Gong) โดยให้ความสำคัญทั้งในด้านสุขภาพและศิลปะการต่อสู้
1. ประวัติความเป็นมา (历史渊源)
> ต้นกำเนิดของไท่จี๋สายเฉินอยู่ที่หมู่บ้านเฉินเจียโกว (陈家沟) เมืองเหวินเสี้ยน มณฑลเหอหนาน
> ศิลปะนี้ได้รับการพัฒนาตั้งแต่ช่วง ปลายราชวงศ์หมิงถึงต้นราชวงศ์ชิง โดยมี เฉินหวังถิง (陈王廷, Chen Wangting) เป็นผู้ก่อตั้ง
> เฉินฉางซิง (陈长兴, 1771–1853) เป็นผู้นำไท่จี๋สายเฉินเข้าสู่โครงสร้างที่เป็นระบบ โดยจัดระเบียบท่ารำเป็น “老架” (Laojia) ซึ่งประกอบด้วยสองชุดหลัก ได้แก่
- 老架一路 (Laojia Yilu) – ชุดท่าพื้นฐานที่เน้นการเคลื่อนไหวต่อเนื่องและพลังภายใน
- 老架二路 หรือ 炮捶 (Laojia Erlu / Pao Chui) – ชุดท่าที่เน้นพลังระเบิด รวดเร็ว และหนักแน่น
> เฉินซิน (陈鑫, 1849–1929) ได้พัฒนาทฤษฎีของไท่จี๋ฉวนโดยผสมผสานหลัก แพทย์แผนจีน และ หลักของเส้นลมปราณ (经络学, Jing Luo Xue)
2. ความสำคัญของไท่จี๋สายเฉิน (价值意义)
- เสริมสร้างสุขภาพและพลังชีวิต (Qi 气)
- ช่วยปรับสมดุลร่างกาย และบำบัดอาการเจ็บป่วยตามแนวแพทย์แผนจีน
- เป็นศิลปะการต่อสู้แบบสมดุล ที่มีพลังภายในแข็งแกร่งและการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล
3. การสืบทอดและเผยแพร่ (传承与发展)
- เดิมทีไท่จี๋สายเฉินเป็นมรดกภายในครอบครัว "ไม่สอนให้คนนอกตระกูล"
- เฉินฉางซิง เป็นบุคคลแรกที่ถ่ายทอดไท่จี๋ให้บุคคลภายนอก ซึ่งหนึ่งในลูกศิษย์ของเขาคือ หยางลู่ฉาน (杨露禅, Yang Luchan) ผู้ก่อตั้ง ไท่จี๋สายหยาง (杨式太极拳, Yang Style Tai Chi)
- ต่อมา เฉินฟาเคอ (陈发科, Chen Fake, 1887–1957) ได้เดินทางไปปักกิ่งและสอนไท่จี๋ฉวนให้แก่สาธารณชน ทำให้ไท่จี๋สายเฉินได้รับการยอมรับในวงกว้าง
การพัฒนาในยุคใหม่
- ในปี 1963 เฉินเจ้าเควี่ย (陈照奎, Chen Zhaokui) บุตรของเฉินฟาเคอ ได้กลับไปยังหมู่บ้านเฉินเจียโกว เพื่อฟื้นฟูและเผยแพร่ไท่จี๋สายเฉิน
- ปี 2006 – ไท่จี๋สายเฉินได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกทางวัฒนธรรมระดับชาติของจีน
- ปี 2022 – ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกทางวัฒนธรรมระดับมณฑลในอานฮุย (安徽省)
4. รูปแบบของไท่จี๋สายเฉิน (套路介绍)
การแบ่งหมวดหมู่
ไท่จี๋สายเฉินแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะหลัก ได้แก่:
1. 老架 (Laojia - ท่าเก่า)
- เป็นแบบดั้งเดิมที่ถ่ายทอดมาจากเฉินฉางซิง
- ใช้พลังระเบิด (发劲, Fa Jin) และเทคนิค "ซานซูจิ้ง" (缠丝劲, Chan Si Jin)
2. 新架 (Xinjia - ท่าใหม่)
- ถูกพัฒนาโดย เฉินฟาเคอ และเน้นการหมุนและการใช้เอวมากขึ้น
3. 小架 (Xiaojia - ท่าขนาดเล็ก)
- เป็นแบบที่เน้นการเคลื่อนไหวที่กระชับมากขึ้น
ท่าหลัก (套路)
- 老架一路 (Laojia Yilu) – ท่าพื้นฐานที่เน้นการเคลื่อนไหวที่สมดุล
- 老架二路 (Laojia Erlu หรือ Pao Chui) – ท่าที่ใช้พลังระเบิดเป็นหลัก
- 新架一路 (Xinjia Yilu) – ท่าที่พัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพลังภายใน
- 新架二路 (Xinjia Erlu) – ท่าขั้นสูงที่เพิ่มความซับซ้อนของการออกแรงและการเคลื่อนที่
- 炮捶 (Pao Chui) – ท่าที่เน้นความแข็งแกร่งและรวดเร็ว ใช้สำหรับการต่อสู้จริง
5. เอกลักษณ์ของไท่จี๋สายเฉิน (奥妙)
จุดเด่นของไท่จี๋สายเฉิน ที่แตกต่างจากสายอื่น:
- เคลื่อนไหวเป็นวงกลม (螺旋运动, Spiral Movement) – ใช้หลักของ "缠丝劲 (Chan Si Jin)" หรือ พลังเกลียวไหม
- มีการเปลี่ยนแปลงจังหวะชัดเจน – มีทั้งท่าช้าและเร็ว การเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลสลับกับพลังที่ระเบิดออก
- ใช้แรงระเบิด (发劲, Fa Jin) และพลังสะท้อนกลับ (震脚, Zhen Jiao)
- มีทั้งการเคลื่อนไหวช้าเพื่อฝึกพลังภายใน และการเคลื่อนไหวเร็วเพื่อใช้ในการต่อสู้
“太极拳是阴阳相济、刚柔并重、内外合一的武术“
“ไท่จี๋ฉวนเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ผสานหยิน-หยาง ความอ่อนโยน-แข็งแกร่ง และพลังภายใน-ภายนอก”
เฉินหวังถิง: บรรพบุรุษแห่งไท่จี๋ฉวน และผู้ก่อตั้งไท่จี๋ตระกูลเฉิน
ต้นกำเนิดของไท่จี๋ฉวนและบทบาทของเฉินหวังถิง
ไท่จี๋ฉวนตระกูลเฉิน (陈氏太极拳) ถือเป็นต้นแบบของไท่จี๋ฉวนทุกแขนง โดยมี เฉินหวังถิง (陈王廷) เป็นผู้วางรากฐานสำคัญ บันทึกทางประวัติศาสตร์ 《温县志稿》 (พงศาวดารเมืองเหวินเซี่ยน) ระบุว่า:
“เฉินหวังถิง หรือที่เรียกว่า โจวถิง (奏庭) ศิลปะการต่อสู้ของหมู่บ้านเฉินเจียโกว ในสมัยราชวงศ์หมิงนั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง และในช่วงต้นราชวงศ์ชิง เฉินหวังถิงได้ศึกษาและพัฒนาศิลปะการต่อสู้อย่างลึกซึ้ง จนกลายเป็นศาสตร์ลับที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ไท่จี๋ฉวน’ (太极拳)”
ชีวประวัติของเฉินหวังถิง
- เกิด : ปี 1600 (พ.ศ. 2143) ในรัชสมัยจักรพรรดิหมิงว่านลี่
- เสียชีวิต : ปี 1680 (พ.ศ. 2223) ในรัชสมัยจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง
- ต้นกำเนิด : หมู่บ้านเฉินเจียโกว มณฑลเหอหนาน
- บทบาท : นักรบ นักยุทธศาสตร์ และปรมาจารย์ศิลปะป้องกันตัว
เฉินหวังถิงเกิดในครอบครัวขุนนางท้องถิ่น บิดาของเขาคือ เฉินฝูหมิน (陈抚民) ซึ่งเคยเป็นข้าราชการเมืองติเต้า (狄道县) เขาได้รับการศึกษาแบบขงจื๊อ และฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่วัยเยาว์
จากนักรบสู่ปรมาจารย์ไท่จี๋ฉวน
สอบบัณฑิตสายบู๊ (武科考试)
ในยุคปลายราชวงศ์หมิง เฉินหวังถิง ได้สมัครสอบบัณฑิตสายบู๊ (武科) เพื่อเข้ารับราชการเป็นแม่ทัพ ซึ่งเป็นระบบสอบที่มีมาตั้งแต่ราชวงศ์ถัง แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่:
- 科试 (ข้อสอบเบื้องต้น)
- 乡试 (สอบระดับมณฑล)
- 会试 (สอบระดับประเทศที่เมืองหลวง)
- 殿试 (สอบต่อหน้าฮ่องเต้)
เหตุการณ์เฉินหวังถิงสังหารผู้ตรวจสอบ
เฉินหวังถิงเป็นนักแม่นธนูที่ยอดเยี่ยม สามารถยิงธนู 9 ดอกเข้าเป้า แต่กลับถูกโกงโดยผู้ตรวจสอบที่รายงานผลผิดพลาด ⚡ ด้วยความโมโหสุดขีด เฉินหวังถิงจึงชักดาบสังหารผู้ตรวจสอบทันที!
เหตุการณ์นี้ทำให้เขาถูกหมายหัวและต้องลี้ภัยอยู่บนภูเขาหลายปี ก่อนจะกลับมายังบ้านเกิดเพื่อเริ่มต้นการสร้างศาสตร์การต่อสู้ใหม่
จากนักรบสู่ปรมาจารย์ไท่จี๋ฉวน
หลังจากกลับมายัง เฉินเจียโกว เฉินหวังถิงเริ่มศึกษา ตำราโบราณ เช่น 《纪效新书》 (ตำรากลยุทธ์ของฉีจี้กวง) ที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ทางทหาร ศิลปะการต่อสู้ และแนวคิดพลังงานภายใน
ผสมผสานองค์ความรู้จากหลายศาสตร์:
- ยุทธศาสตร์การรบ – นำมาจากตำราสงคราม
- หลักปรัชญาเต๋า – ใช้แนวคิด หยินหยาง และ การไหลเวียนพลังชี่
- ศาสตร์การแพทย์จีน – ศึกษาเส้นลมปราณและจุดชีพจร
เอกลักษณ์ของไท่จี๋ฉวนตระกูลเฉิน
- 螺旋缠绕 (หมุนเป็นเกลียว) – การเคลื่อนที่แบบหมุนวนเพื่อสร้างพลัง
- 刚柔并济 (แข็งและอ่อนประสานกัน) – ใช้ความอ่อนโยนควบคู่กับพลังระเบิด
- 内劲 (พลังภายใน) และ 发劲 (การระเบิดพลัง) – ใช้พลังจากศูนย์กลางร่างกาย
- 推手 (ฝึกผลักมือ) – ฝึกการรับรู้พลังของคู่ต่อสู้
เฉินหวังถิงยังได้แต่ง บทกวี “叙怀” เพื่อสอนลูกศิษย์ ซึ่งมีใจความว่า:
“一阴九阳根头棍,二阴八阳是散手…” (ระดับของพลังไท่จี๋ขึ้นอยู่กับการเข้าใจหยินหยาง)
มรดกของเฉินหวังถิงและอิทธิพลต่อไท่จี๋ฉวน
- ไท่จี๋ฉวนตระกูลเฉินเป็น ต้นกำเนิดของไท่จี๋ทุกแขนง
- พัฒนาสู่ไท่จี๋ฉวนสายอื่น เช่น หยาง, ซุน, อู๋ และหวู่
- ได้รับการยอมรับจาก UNESCO ให้เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของโลก
- ปัจจุบัน มีผู้ฝึกไท่จี๋ฉวนหลายล้านคนทั่วโลก
ปรัชญาไทเก๊ก ผ่อนคลายแต่ไม่เฉื่อย
ไหลลื่นแต่มั่นคง สู่พลังภายในของไท่เก๊ก
แก่นแท้ของไท่จี๋: ผ่อนคลายเพื่อสร้างพลังภายใน
> การฝึกไท่จี๋ฉวนที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การทำท่าทางให้ถูกต้อง แต่เป็น การปลดปล่อยพลังภายใน (内劲, Nei Jin) ซึ่งเกิดจากการผ่อนคลายที่ถูกต้อง
> “การไหลเวียนที่ดี ย่อมไร้ความเจ็บปวด” (通者不痛,痛者不通)
ไท่จี๋ช่วยให้ข้อต่อและกล้ามเนื้อคลายตัว กระตุ้นการไหลเวียนของพลังงานและเลือด ส่งเสริมสุขภาพและการฟื้นฟูของร่างกาย
> การผ่อนคลายในไท่จี๋ ไม่ใช่ความอ่อนแอหรือการเฉื่อยชา แต่เป็นการผ่อนคลายที่มุ่งเน้นและควบคุมได้ ซึ่งช่วยให้ร่างกายมีพลังที่ไหลลื่นและสมดุล
1. ผ่อนคลาย (松 - Song)
“松” หมายถึง การคลายตัว เปิดกว้าง และเป็นอิสระ
วิธีฝึกผ่อนคลายในไท่จี๋
- รักษาท่าทางที่ถูกต้องโดยไม่เกร็ง
- จิตใจสงบและจดจ่อกับร่างกาย
- ปล่อยให้กล้ามเนื้อ, เอ็น และข้อต่อผ่อนคลายจากภายใน
- ให้พลังภายในเคลื่อนจากส่วนกลางสู่ปลายแขนขา
2. มั่นคง (沉 - Chen)
“沉” หมายถึง การหยั่งรากลงและสร้างความมั่นคง
วิธีฝึกให้มั่นคงในไท่จี๋
- ผ่อนคลายไหล่ ข้อศอก และเอว เพื่อให้ศูนย์ถ่วงต่ำลง
- ให้พลังไหลลงสู่ขาและเท้า เหมือนเรือลอยน้ำที่หนักแน่นและสมดุล
- รู้สึกถึงแรงโน้มถ่วงของร่างกาย โดยไม่ให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง
“ผ่อนคลายต้องอิงอยู่บนความมั่นคง” และ “ความมั่นคงต้องเกิดจากการผ่อนคลาย”
หากมีแต่การผ่อนคลายโดยไม่มีความมั่นคง จะกลายเป็น ลอยตัวและขาดพลัง
หากมีแต่ความมั่นคงโดยไม่ผ่อนคลาย จะกลายเป็น แข็งทื่อและตึงเครียด
3. พลังภายใน (内劲 - Nei Jin) คืออะไร?
"พลังภายใน" ไม่ใช่พลังจากกล้ามเนื้อ
แต่เป็นพลังที่เกิดจากการประสานกันของจิตใจ, ลมหายใจ และร่างกาย"
วิธีฝึกพลังภายใน
- ใช้ จิตนำการเคลื่อนไหว (以意行气 - ใช้จิตกำหนดพลัง)
- พลังควรไหลเวียนจาก จุดศูนย์กลาง (丹田 - ตันเถียน) ไปสู่ส่วนปลายของร่างกาย
- ทุกการเคลื่อนไหวต้อง สอดคล้องกันทั้งร่างกาย
- ฝึกให้พลังย้อนกลับคืนสู่ตันเถียน (พลังเคลื่อนที่เป็นวงจร ไม่สูญเปล่า)
“心为令,气为旗,意为帅,身为驱使” – หัวใจเป็นนาย, พลังเป็นธง, จิตเป็นผู้นำ, ร่างกายเป็นผู้ปฏิบัติ”
4. เคล็ดลับสู่พลังภายใน
ควบคุมความผ่อนคลาย (松柔)
- ผ่อนคลายทุกข้อต่อและกล้ามเนื้อ
- ปล่อยให้พลังภายในไหลเวียนโดยไม่มีการติดขัด
- ให้ร่างกายเป็นเหมือนสปริงที่มีแรงดีดกลับ
ประสานการเคลื่อนไหว (协调连贯)
- ทุกท่าต้องไหลลื่นต่อเนื่อง
- ทุกการเปลี่ยนท่าควรมี 蓄发 (เก็บและปล่อยพลัง)
- พลังภายในต้องแฝงอยู่ในทุกท่วงท่า
เคลื่อนที่โดยใช้แกนกลาง (节节贯穿)
- เอวเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหว
- แขนขาเคลื่อนที่ตามลำดับ – ไหล่เคลื่อนก่อน ศอกตามมา มือเป็นจุดสุดท้าย
- ขาเคลื่อนที่เป็นระบบ – เอวควบคุมสะโพก, สะโพกควบคุมเข่า, เข่าควบคุมเท้า
ไทเก๊กกับการส่งเสริมสุขภาพอวัยวะภายในและเส้นลมปราณ
ไท่จี๋ฉวน: ศาสตร์แห่งสุขภาพที่เชื่อมโยงกับอวัยวะภายในและเส้นลมปราณ
ไม่ว่าคุณจะฝึก ไท่จี๋ฉวน (Tai Chi Chuan) หรือปฏิบัติ ศาสตร์การแพทย์แผนจีน (TCM – Traditional Chinese Medicine) จุดมุ่งหมายหลักก็คือ การปรับสมดุลการทำงานของอวัยวะภายใน (五脏六腑) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
ศาสตร์เส้นลมปราณ (Meridian Theory 经络学) เป็นรากฐานของหลักการบำรุงสุขภาพในไท่จี๋
- ร่างกายมนุษย์เป็นระบบที่มีความเชื่อมโยงกัน
- อวัยวะภายในทำงานสัมพันธ์กัน และส่งผลต่ออารมณ์และจิตใจ
- ความสมดุลของพลังชีวิต (Qi 气) และระบบหมุนเวียนเลือดเป็นกุญแจสำคัญของสุขภาพ
ไท่จี๋ฉวนช่วยเสริมสร้างการทำงานของอวัยวะภายในผ่านการเคลื่อนไหวที่สมดุล การควบคุมลมหายใจ (吐纳) และการฝึกจิตใจ (心意修炼)
1, ปรับสมดุลหัวใจ (调心)
หัวใจควบคุมการไหลเวียนของเลือดและเป็นศูนย์กลางของจิตใจ
หากพลังงานหัวใจไม่สมดุล จะส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและอารมณ์
ไท่จี๋ช่วยหัวใจได้อย่างไร?
- เน้นให้ พลังงานภายใน (Qi) ขับเคลื่อนร่างกาย และ ให้ร่างกายนำพลังงานภายในหมุนเวียนได้อย่างลื่นไหล
- ท่าทางที่ โค้งมนและต่อเนื่อง ช่วยให้ กล้ามเนื้อและเส้นเลือดขยายตัว ลดภาระหัวใจ
- ฝึกสมาธิและจิตใจให้สงบ ซึ่งช่วย ควบคุมความเครียด และ บำรุงหัวใจ
"气遍周身不少滞" – พลังชีวิตควรไหลเวียนทั่วร่างกายโดยไม่ติดขัด"
2. บำรุงตับ (养肝)
ตับเป็นศูนย์กลางของการล้างพิษและควบคุมอารมณ์
การฝึกไท่จี๋ที่ถูกต้องสามารถช่วย ให้พลังงานตับหมุนเวียนได้ดีขึ้น และลดความเครียดที่ส่งผลต่อตับ
ไท่จี๋ช่วยตับได้อย่างไร?
- การฝึกที่เน้น ความสงบทางจิตใจและการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยน
- ท่าทางที่ นุ่มนวลต่อเนื่องเหมือนกิ่งหลิวโอนเอนตามสายลม ช่วยให้ พลังงานตับไหลเวียนได้ดีขึ้น
- ระบบย่อยอาหารดีขึ้น เพราะตับและม้ามทำงานสอดคล้องกัน
“生气盎然,可使肝气舒和条达” – พลังที่สดชื่นสามารถช่วยให้พลังตับไหลเวียนได้อย่างอิสระ”
3. เสริมการทำงานของม้ามและกระเพาะอาหาร (健脾)
ม้ามช่วยควบคุมการดูดซึมสารอาหาร และกระเพาะอาหารช่วยย่อยอาหาร
หากระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี กล้ามเนื้อและกระดูกจะได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
ไท่จี๋ช่วยม้ามและกระเพาะอาหารได้อย่างไร?
- การเคลื่อนไหวของไท่จี๋ กระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในผ่านแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
- การฝึกที่ ใช้ลมหายใจลึกและเป็นจังหวะ ทำให้ ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
- กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น เพราะร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน
“脾主肌肉,消化吸收功能改善则肌肉骨骼得到足够营养” – เมื่อระบบย่อยอาหารดีขึ้น กล้ามเนื้อและกระดูกจะได้รับสารอาหารที่เพียงพอ”
4. เสริมสุขภาพปอด (益肺)
ปอดควบคุมระบบหายใจและเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนออกซิเจน
การฝึกไท่จี๋ช่วยให้ ปอดแข็งแรงขึ้นและเพิ่มปริมาณออกซิเจนในร่างกาย
ไท่จี๋ช่วยปอดได้อย่างไร?
- ลมหายใจลึก ยาว และสม่ำเสมอ ช่วยให้ ปอดขยายตัวเต็มที่
- การเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลช่วยให้ พลังงาน Qi ไหลเวียนผ่านเส้นลมปราณปอดได้ดีขึ้น
- ช่วย เพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อปอด และ เพิ่มความจุปอด
“腹内松净气腾然” – เมื่อท้องผ่อนคลายและสะอาด พลัง Qi จะพุ่งขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ”
5. บำรุงไตและปรับสมดุลพลังชีวิต (强肾)
ไตเป็นแหล่งพลังงานชีวิต (Jing 精) และควบคุมสมดุลของของเหลวในร่างกาย
ไท่จี๋ช่วยให้ไตทำงานดีขึ้น ส่งผลให้ พลังงานโดยรวมของร่างกายแข็งแรงขึ้น
ไท่จี๋ช่วยไตได้อย่างไร?
- เน้น "ใช้เอวเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหว" ซึ่งช่วย กระตุ้นไตโดยตรง
- การหายใจลึกช่วยให้ ไตปรับสมดุลน้ำในร่างกายและควบคุมพลัง Qi ได้ดีขึ้น
- ช่วยบำบัดอาการที่เกี่ยวข้องกับไต เช่น ความอ่อนล้าและปัญหาการเผาผลาญ
“刻刻留心在腰隙” – ต้องใส่ใจการเคลื่อนไหวของเอวอยู่เสมอ”
6. เปิดเส้นลมปราณ (疏通经络)
ในศาสตร์แพทย์แผนจีน เส้นลมปราณ (Meridians) เป็นเส้นทางของพลังงาน Qi
ไท่จี๋ช่วยให้ พลังงาน Qi ไหลเวียนได้ดีขึ้น และช่วยขจัดพลังงานที่ติดขัด
ไท่จี๋ช่วยเปิดเส้นลมปราณได้อย่างไร?
- ใช้เทคนิค การเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกับการหายใจ
- ช่วยขจัดพลังงานที่ติดขัด ในเส้นลมปราณ ทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
- การเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและเป็นจังหวะ ช่วยให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะสมดุล
“运之于身、发之于毛” – พลัง Qi ต้องไหลเวียนผ่านร่างกายและสะท้อนออกมาทางผิวหนัง”