
Shinkyokushin Karate: ศาสตร์แห่งคาราเต้สายสู้จริง ปะทะจริง ที่แข็งแกร่งที่สุด
สำนักคาราเต้ Shinkyokushin Karate เป็นองค์กรนิติบุคคลที่ไม่แสวงหาผลกำไร World Karate Organization (WKO) Shinkyokushinkai โดยได้รับสืบทอดเจตนารมณ์และปรัชญาของคาราเต้เคียวคุชิน ซึ่งก่อตั้งโดย โซไซ มาซูทัตสึ โอยามะ Sosai Matsushita Oyama เมื่อปี ค.ศ. 1956 ภายใต้ปรัชญาหลัก “การฝึกฝนจิตใจให้แข็งแกร่ง” ซึ่งมุ่งเน้นการดำเนินงานตามแนวนโยบายสำคัญ ได้แก่ “การปลูกฝังเยาวชน” “การมีส่วนร่วมต่อสังคม” และ “การแลกเปลี่ยนระดับนานาชาติ” ภายใต้ความเชื่อว่าจิตใจที่แข็งแกร่งนำมาซึ่งความเมตตา และหัวใจที่เมตตาก่อให้เกิดพลังอันแข็งแกร่ง เราเชื่อมั่นว่าร่างกายที่แข็งแรงจะเป็นรากฐานของจิตใจที่แข็งแกร่ง และจะยังคงมุ่งมั่นดำเนินกิจกรรมของเราต่อไป เพื่อก้าวขึ้นเป็นองค์กรคาราเต้ที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในโลก
Shinkyokushin Karate คือการฝึกคาราเต้สไตล์เคียวคุชิน ซึ่งเป็นคาราเต้สายฟูลคอนแทคที่มีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งและเทคนิคการต่อสู้ที่ทรงพลัง โดยยังคงแนวทางของเคียวคุชินดั้งเดิม เน้นการฝึกฝนร่างกายและจิตใจให้แข็งแกร่ง พร้อมสำหรับการแข่งขันและการป้องกันตัว ต้นกำเนิดของ Kyokushin มีรากฐานจากสุภาษิตที่ว่า “การฝึกฝนหนึ่งพันวันทำให้เป็นผู้เริ่มต้นที่สมบูรณ์ การฝึกฝนหนึ่งหมื่นวันคือจุดเริ่มต้นของความเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้” สัญลักษณ์นี้ยังเป็นตัวแทนของแนวคิด “Shin-Gi-Tai” (心 技 体) หรือ การหลอมรวมของจิตใจ เทคนิค และร่างกาย ซึ่งเป็นแก่นแท้สำคัญในการพัฒนาจิตวิญญาณแห่ง Budo
ประวัติและต้นกำเนิดของ Shinkyokushin Karate
Shinkyokushin Karate ก่อตั้งขึ้นภายหลังจากการจากไปของ โอยามะ มาซึทัตสึ (Oyama Masutatsu) ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งคาราเต้เคียวคุชิน โดยองค์กร Shinkyokushin นำโดย เคนอิจิ มิซึโนะ (Kenji Midori) ซึ่งเป็นอดีตแชมป์โลก Kyokushin Karate ที่ต้องการสานต่อปรัชญาและแนวทางของ Kyokushin แต่เสริมด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ที่เปิดกว้างและทันสมัยมากขึ้น
เกี่ยวกับผู้ก่อตั้ง : อาจารย์ โอยามะ มาซึทัตสึ (Mas Oyama)
อาจารย์ โอยามะ มาซึทัตสึ เกิดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 ขณะศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น เขาได้เห็นนักเรียนฝึกฝนคาราเต้แบบโอกินาวา และมีความสนใจจนได้เข้าฝึกที่สำนักของ กิชิน ฟุนาโกชิ (Gichin Funakoshi) ที่มหาวิทยาลัยทาคุโชกุ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง โชโตกันคาราเต้ (Shotokan Karate)
ด้วยความสามารถที่โดดเด่น เมื่ออายุ 17 ปี เขาได้รับ สายดำระดับ 2 ดั้ง และเมื่ออายุ 20 ปี ได้เลื่อนเป็น สายดำระดับ 4 ดั้ง หลังจากนั้นเขาได้รับแรงบันดาลใจจากนิยาย “มูซาชิ” (Musashi) ของ เอย์จิ โยชิคาวะ (Eiji Yoshikawa) ที่สอนเกี่ยวกับปรัชญาซามูไร ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปยังภูเขามิโนบุ เพื่อฝึกฝนอย่างหนักหน่วง
การฝึกฝนที่เข้มข้นของ Mas Oyama
อาจารย์ โอยะมะฝึกซ้อมหนักถึงวันละ 12 ชั่วโมงต่อเนื่องเป็นเวลา 18 เดือน ซึ่งรวมถึง:
- ยืนทนรับแรงน้ำตกเย็นจัด
- ใช้มือเปล่าทุบหินแม่น้ำให้แตก
- ใช้ต้นไม้แทนมาคิวาระ (Makawara) เพื่อฝึกการโจมตี
- กระโดดข้ามต้นปอที่โตอย่างรวดเร็วหลายร้อยครั้งต่อวัน
เมื่อเขากลับลงมาจากการฝึกฝน ในช่วงปี 1950 Mas Oyama ได้ต่อสู้กับวัวกระทิงมากถึง 52 ตัว ตลอดระยะเวลาหลายปีของการทดสอบความสามารถของตัวเอง โดยในจำนวนนี้ วัวกระทิง 3 ตัวเสียชีวิตทันทีจากการโจมตีที่ทรงพลัง และเกือบทุกตัวต้องสูญเสียเขาหลังจากถูกฟาดด้วย Shuto หรือคมหมัดด้านข้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคที่แข็งแกร่งที่สุดของ Kyokushin การต่อสู้เหล่านี้ทำให้ Oyama กลายเป็นตำนานที่มีชีวิต ยืนยันถึงปรัชญาที่ว่า “จิตใจที่แข็งแกร่งสามารถเอาชนะร่างกายที่ยิ่งใหญ่ได้” และส่งต่อแนวคิดนี้ไปยังศิษย์รุ่นต่อ ๆ ไปจนถึงปัจจุบันKyokushin Karate และการแพร่กระจายไปทั่วโลก
Mas Oyama กับการเดินทางเผยแพร่ Kyokushin Karate สู่เวทีโลก
ในปี ค.ศ. 1952 โอยามะได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา และแสดงศิลปะการต่อสู้ผ่านรายการโทรทัศน์ระดับชาติ พร้อมทั้งรับคำท้าต่อสู้จากคู่ต่อสู้กว่า 270 คน และสามารถเอาชนะได้ทั้งหมดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว หลักการต่อสู้ของเขามีว่า: “หากเขาต่อยคุณ นั่นคือจุดจบของคุณ” ซึ่งทำให้เขาได้รับฉายาว่า “เทพหมัดเหล็ก” (Godhand) ที่สามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ด้วยหมัดเดียว ในปี ค.ศ. 1964 สำนักงานใหญ่ Kyokushin Karate ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ และแพร่กระจายไปกว่า 120 ประเทศ มีสมาชิกมากกว่า 10 ล้านคน ทำให้เป็นหนึ่งในองค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ผลกระทบของการเสียชีวิตของ Mas Oyama ต่อ Kyokushin Karate
Mas Oyama (มาซูทัตสึ โอยามะ) ผู้ก่อตั้งสำนักคาราเต้สาย Kyokushin ได้ถึงแก่อสัญกรรมในเดือนเมษายน ปี 1994 ขณะอายุ 70 ปี โดยไม่ได้แต่งตั้งผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างชัดเจน ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในองค์กรเกี่ยวกับผู้นำคนใหม่ รวมถึงปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจในหมู่สาขาของ Kyokushin ทั่วโลก ผลที่ตามมาคือองค์กร Kyokushin เริ่มแตกแยกออกเป็นกลุ่มย่อยหลายกลุ่มในระดับชาติและนานาชาติ นับเป็นการสิ้นสุดยุคที่ Kyokushin เคยเป็นองค์กรคาราเต้เต็มสัมผัสที่ใหญ่และมีเอกภาพที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภายใต้การนำของ Oyama มีสาขามากกว่า 1,000 โดโจใน 123 ประเทศและมีสมาชิกกว่า 12 ล้านคนในช่วงรุ่งเรืองสูงสุด
แต่หลังการจากไปของเขา International Karate Organization (IKO) ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ดูแล Kyokushin ก็เกิดการแยกแตกออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วงหลังการเสียชีวิตของ Oyama การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายใน IKO เริ่มชัดเจน แต่เดิมก่อนที่ Oyama จะเสียชีวิตก็มีบางกลุ่มแยกตัวออกไปตั้งองค์กรของตนเองแล้ว เช่น Jon Bluming ในปี 1980 และ Steve Arneil ในปี 1991 ทว่าเหตุการณ์สำคัญอยู่ที่หลังปี 1994 เมื่อ IKO แตกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่เนื่องจากความขัดแย้งเรื่องการสืบทอดตำแหน่งประธานองค์กร กลุ่มแรกนำโดย Shokei (Akiyoshi) Matsui เป็นที่รู้จักในชื่อ IKO-1 ส่วนกลุ่มที่สองนำโดย Yukio Nishida และ Keiji Sanpei ถูกเรียกว่า IKO-2 (ต่อมาศาลครอบครัวกรุงโตเกียวได้วินิจฉัยว่าพินัยกรรมที่อ้างว่า Oyama แต่งตั้ง Matsui เป็นทายาทนั้นไม่ถูกต้องในปี 1995) การขาดผู้นำที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายและข้อพิพาทภายในนี้ส่งผลให้สายคาราเต้ Kyokushin แตกออกเป็นหลายสายหรือหลายองค์กร ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างอ้างตนสืบทอดเจตนารมณ์ของ Oyama
การแยกตัวของ Kyokushin และการก่อตั้ง Shinkyokushin โดย Kenji Midori
หนึ่งในการแตกแยกสำคัญของ Kyokushin คือกลุ่ม IKO-2 ที่พัฒนากลายมาเป็น Shinkyokushin Karate ในที่สุด กลุ่ม IKO-2 เริ่มแรกนำโดย ยูกิโอะ นิชิดะ (Yukio Nishida) หลังการเสียชีวิตของ Oyama ต่อมา Nishida ลาออกจากตำแหน่ง ผู้นำกลุ่มจึงเปลี่ยนมือเป็น เคอิจิ ซัมเปย์ (Keiji Sanpei) และภายหลัง ยาสุฮิโระ ชิจิโนเฮ (Yasuhiro Shichinohe) ตามลำดับ จนกระทั่งในที่สุด Kenji Midori (เค็นจิ มิโดริ) ซึ่งเป็นศิษย์ของ Oyama และอดีตแชมป์โลกคาราเต้ Kyokushin (แชมป์โลกการแข่งขัน Kyokushin ครั้งที่ 5 ปี 1991) ได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำกลุ่มนี้
ภายใต้การนำของ Kenji Midori กลุ่ม IKO-2 ได้มีการปรับโครงสร้างและอุดมการณ์ครั้งสำคัญ โดยในปี 2003 องค์กรนี้ได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น องค์กรคาราเต้นานาชาติโลก (World Karate Organization, WKO) Shinkyokushinkai หรือที่รู้จักทั่วไปว่า Shinkyokushin (แปลว่า “เคียวคุชินใหม่”) การรีแบรนด์ครั้งนี้เป็นการประกาศจุดยืนว่าจะดำรงเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ Oyama ควบคู่ไปกับการปรับตัวให้เป็นองค์กรสมัยใหม่ภายใต้สถานะนิติบุคคลแบบไม่แสวงหากำไร (NPO) Kenji Midori ดำรงตำแหน่งประธาน (Daihyo) ของ WKO Shinkyokushinkai ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
การก่อตั้ง Shinkyokushin ถือเป็นผลสืบเนื่องจากความแตกแยกหลังยุค Oyama โดย Kenji Midori และผู้นำร่วมได้สร้างเครือข่ายใหม่ที่ยังคงแนวทางการต่อสู้เต็มสัมผัส (Full-contact Karate) แบบ Kyokushin ดั้งเดิม แต่ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารให้มีประสิทธิภาพและเป็นสากลมากขึ้น ส่งผลให้นักคาราเต้ Kyokushin จำนวนมากทั่วโลกที่ต้องการความเป็นเอกภาพหรือไม่เห็นด้วยกับการนำของกลุ่มอื่น ย้ายมาสังกัด Shinkyokushin ซึ่งอ้างอิงคำสอนของ Sosai Oyama อย่างเคร่งครัด
สถิติล่าสุดของ Shinkyokushin Karate
ปัจจุบัน WKO Shinkyokushinkai ได้เติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในองค์กรคาราเต้สายเต็มสัมผัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากก่อตั้งองค์กรใหม่ในปี 2003 มีการขยายสาขาอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2021 ระบุว่า Shinkyokushin มีสมาชิกลงทะเบียนประมาณ 100,000 คน ใน 102 ประเทศและดินแดน นับเป็นการเติบโตกว่า 1.6 เท่าจากช่วงที่เปลี่ยนชื่อองค์กร (ขณะนั้นมี 65 ประเทศ) และแนวโน้มยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ในปี 2019 WKO ได้ประกาศความสำเร็จในการมีตัวแทนอย่างเป็นทางการครบ 101 ประเทศทั่วโลก และตั้งเป้าหมายใหม่ที่จะเพิ่มเป็น 123 ประเทศให้เทียบเท่ายุคของ Sosai Oyama ล่าสุด ณ ปี 2023 WKO Shinkyokushinkai ระบุว่ามีสาขาใน 103 ประเทศทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในการฟื้นฟูและขยายสายคาราเต้ Kyokushin ใต้ร่มธง Shinkyokushin อย่างต่อเนื่องหลังการจากไปของ Mas Oyama ด้วยจำนวนประเทศที่เข้าร่วมกว่า 100 ประเทศและสมาชิกนับแสนคน Shinkyokushin ได้รับการยอมรับว่าเป็นเครือข่ายคาราเต้สาย Kyokushin ที่แข็งแกร่งและกว้างขวางที่สุดสายหนึ่งในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้การจัดการแข่งขันระดับโลก (เช่น World Open Karate Championship ซึ่งจัดทุก 4 ปี) และกิจกรรมแลกเปลี่ยนศิลปะการป้องกันตัวระหว่างประเทศยังคงดำเนินต่อไปอย่างคึกคักภายใต้ชื่อ Shinkyokushin ซึ่งยังคงยึดมั่นในวิถีบูโดและเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ Sosai Mas Oyama
ทำไมต้องเรียน Shinkyokushin Karate ในไทย?
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการฝึก Shinkyokushin Karate ในเอเชีย มีสถาบันสอนที่ได้รับการรับรองจากองค์กร Shinkyokushin Karate ระดับโลก รวมถึงมีการแข่งขันระดับประเทศและนานาชาติให้ผู้ฝึกได้พัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง
จุดเด่นของ Shinkyokushin Karate
✅ ฟูลคอนแทค (Full Contact) – ใช้เทคนิคการโจมตีที่ทรงพลัง เช่น หมัด เตะ ศอก เข่า โดยไม่มีการสวมอุปกรณ์ป้องกันมากนัก
✅ การฝึกสมาธิและจิตใจ – เสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยพัฒนาความอดทนและความมีระเบียบวินัย
✅ เหมาะสำหรับการแข่งขัน – ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันสามารถพัฒนาทักษะการต่อสู้เพื่อเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ
✅ การป้องกันตัวที่มีประสิทธิภาพ – ใช้ได้จริงในการป้องกันตัว ด้วยเทคนิคที่ผสมผสานการโจมตีและการป้องกัน
สถานที่เรียน Shinkyokushin Karate ในไทย
หากคุณกำลังมองหา Shinkyokushin Dojo Thailand ที่มีมาตรฐานระดับสากล IMAC Dojo เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่เปิดสอน Kyokushin Karate และ Shinkyokushin Karate อย่างเป็นทางการ ตั้งอยู่ที่ ลาดพร้าว 101 กรุงเทพฯ
IMAC Dojo – สอนโดยอาจารย์คาราเต้สายดำ 6 ท่าน และมีโปรแกรมฝึกทั้งสำหรับมือใหม่และผู้ที่ต้องการฝึกแบบแข่งขัน
ที่ตั้ง: ซอยโพธิ์แก้ว ลาดพร้าว 101 กรุงเทพฯ แผนที่ bit.ly/imac_route
รายละเอียดเพิ่มเติม https://imacdojo.com/karate/
✅ LINE Official: @imacdojo